หลังจากทดลองทำธุรกิจความงามมาตั้งแต่ปี 2558 ผ่านช่องทางออนไลน์และ Call Center 1781 รวมทั้งใช้ช่อง 8 เป็นสื่อหลักในการทำตลาดสินค้าความงาม 8 แบรนด์ ประกอบด้วย มาจีค, รีไวว์, กราวีธัส, โนเบิลไวท์, ไทม์แคปซูล, สลิคซ์, เคลียร์เอ็กซ์เพิร์ท และเพียร่า ปรากฏว่า ได้ผลการตอบรับจากผู้บริโภคดีเกินความคาดหมาย ทั้งในแง่ยอดขายที่ทะลุเป้าและทำกำไรได้ตั้งแต่ปีแรก ส่งผลให้วันนี้บริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) พร้อมแล้วที่จะเข้ามาลุยทำธุรกิจความงามอย่างจริงจัง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจสื่อ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท อาร์เอส แต่เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว จึงทำให้ธุรกิจสื่อชะลอตัวตามไปด้วย
จากปัจจัยดังกล่าวจึงถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัท อาร์เอส เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะกระโดดเข้ามาทำธุรกิจความงามอย่างจริงจัง เนื่องจากธุรกิจความงามถือเป็นหนึ่งในหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเศรษฐกิจน้อยมาก เห็นได้จากอัตราการเติบโตของตลาดความงามที่ยังเติบโตดีอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยที่ประมาณ 6-8% ส่งผลให้ปัจจุบันธุรกิจความงามในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 65,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า 50,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกกว่า 15,000 ล้านบาท เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกายและอื่นๆ
สำหรับภาพรวมปีนี้ยังคงคาดการณ์กันว่าธุรกิจความงามน่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 6-8% เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา แม้ว่าปีนี้จะยังมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคชะลอตัวกำลังซื้อไปบ้าง แต่ปัจจัยนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจความงามมากนัก เนื่องจากคนไทยยังคงให้ความสำคัญกับความสวยงามและการดูแลตัวเองให้ดูดี โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคผู้หญิง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้บริษัท อาร์เอส มีความมั่นใจยิ่งขึ้นในการเข้ามาทำธุรกิจความในครั้งนี้
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมองเห็นแนวโน้มของตลาดสุขภาพและความงามว่ายังมีโอกาสทางการตลาดเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะทุกปีธุรกิจความงามจะมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่สวนกระแสเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น ทำให้กลุ่มสินค้าความงามกลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันไปแล้ว
หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเข้ามาดำเนินธุรกิจความงามอย่างจริงจัง ล่าสุดบริษัท อาร์เอส ได้จึงตัดสินใจเข้าไปลงทุนในธุรกิจสุขภาพและความงาม (Health and Beauty) ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ คือ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด (LifeStar) เพื่อลุยทำตลาดเต็มรูปแบบ เนื่องจากมองเห็นโอกาสว่าธุรกิจความงามสามารถขยายตัวกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้ได้ในอนาคต
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม บริษัท อาร์เอส ได้เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจความงาม ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีจากสถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลกหลายประเทศ อาทิ สวิตเซอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, สเปน และญี่ปุ่น เพื่อคิดค้นสุดยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ความงาม ด้วยการนำสารสกัดจากธรรมชาติมาถอดรหัสผสานศาสตร์เทคโนโลยีชั้นสูง ตอบโจทย์สร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด
นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าส่วนประกอบสำคัญจากต่างประเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้าที่มีคุณภาพอยู่แล้วยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่จำหน่ายในราคาเหมาะสม ขณะเดียวกันก็เสริมความแข็งแกร่งในด้านของการบริหารธุรกิจความงาม ด้วยการดึงทีมงานมืออาชีพนำโดย นายชาคริต พิชญางกูร ที่มีความรู้ความเข้าใจตลาดสุขภาพและความงามเป็นอย่างดี มารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด
นางพรพรรณ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จกับการขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ เพราะบริษัทมี 3 จุดแข็งสำคัญที่เป็นคีย์ ซัคเซส (Key Success) ในการทำตลาดครบถ้วน ประกอบด้วย มีสุดยอดนวัตกรรมตอบโจทย์ตรงตามความต้องการผู้บริโภค, มีช่องทางกระจายสินค้าครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และมีสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับแผนการทำตลาดในปีนี้ บริษัท อาร์เอส ได้เตรียมงบ 200 ล้านบาท เพื่อใช้ทำการตลาดผ่านกลยุทธ์นวัตกรรมแบบเปิด ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีจากสถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลก และนำมาจดเป็นเครื่องหมายทางการค้า (trademark) เอกสิทธิ์เฉพาะของแต่ละแบรนด์
ขณะเดียวกันก็จะทำการเปิดเกมรุกนำ 4 แบรนด์มาทำตลาดพร้อมกัน เพื่อสร้างการรับรู้ในธุรกิจ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชะลอริ้วรอยแห่งวัย “มาจีค (Magique)”, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชะลอริ้วรอยแห่งวัย “กราวีธัส (Gravitas)” และผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้แข็งแรง “รีไวว์ (Revive)” และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวขาวกระจ่างใส “โนเบิล ไวท์ (Noble White)” พร้อมแนะนำพรีเซ็นเตอร์ชื่อดังรวดเดียว คือ มาช่า วัฒนพานิช, ต่าย-เพ็ญพักตร์ ศิริกุล และเจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ พร้อมทั้งขยายช่องทางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด, บิวตี้สโตร์ และร้านผลิตภัณฑ์ความงามครบวงจรทั่วประเทศ เพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค
ด้านนายชาคริต พิชญางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงแรกของการทำตลาดบริษัทจะดึงจุดแข็งศิลปินดาราที่มีชื่อเสียงมาเป็นแรงส่ง เพื่อช่วยร่นระยะเวลาการทำตลาด ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเชื่อมั่นและมั่นใจต่อแบรนด์สินค้านำไปสู่การทดลองใช้และเกิดการซื้อซ้ำ หรือบอกปากต่อปากได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว จึงได้เลือกซุปตาร์เมืองไทยที่มีบุคลิกเฉพาะตัวตรงตามคาแร็กเตอร์ของแต่ละแบรนด์สินค้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์
ส่วนช่องทางการจำหน่าย เบื้องต้นจะนำสินค้าเข้าสู่โมเดิร์นเทรด ได้แก่ ร้าน Watsons, ร้าน EVEANBOY ทุกสาขา บิวตี้สโตร์ และร้านผลิตภัณฑ์ความงามครบวงจรทั่วประเทศ เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายของทุกผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาแต่ละแบรนด์สินค้าผ่านทางสื่อดิจิตอลทีวีช่องหลักๆ เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำในวงกว้างรวดเร็วที่สุด ขณะเดียวกันใช้โซเชียลมีเดีย ได้แก่ เฟสบุ๊ค, อินสตาแกรม, ทวิตเตอร์ รวมทั้งบล็อกเกอร์ผลิตภัณฑ์ความงามร่วมโปรโมท เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายที่จำนวนไม่น้อยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนโลกออนไลน์ ตลอดจนติดตั้งบิลบอร์ดทั้งขนาดยักษ์และบริเวณริมทางเท้าบนถนนเส้นหลักกระจายอยู่ตามจุดสำคัญทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งหลังจากรุกทำการตลาดอย่างต่อเนื่องคาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้อยู่ที่ 600 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาทในปี 2560
อย่างไรก็ดี ในส่วนของรายได้รวมบริษัท อาร์เอส สิ้นปีนี้ยังคงวางเป้าหมายไว้ที่ 4,500 ล้านบาท ตามแผนงานเดิมที่วางไว้ แม้ว่าปัจจุบันรายได้ธุรกิจสื่อจะอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยในส่วนของรายได้ดังกล่าว แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสื่อ 70% ความงาม 30% ส่วนปี 2560 คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจสื่ออยู่ที่ 50% และธุรกิจความงาม 50% เนื่องจากธุรกิจความงามมีการขยายตัวดีกว่าธุรกิจสื่อ และมีกำไรทางธุรกิจดีกว่า
หลังจากเปิดตัวธุรกิจความงามอย่างจริงจัง และใช้ระยะเวลา 2 ปีในการสร้างฐานลูกค้าในประเทศ ซึ่งในอนาคตบริษัท อาร์เอส ก็มีแผนที่จะขยายธุรกิจความงามเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดและเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจ
ข่าวเด่น