เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
'นโยบายดบ.-ผลเลือกตั้งสหรัฐ' ปัจจัยเสี่ยงกดดันศก.


 


เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้   ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัจจัยภายนอก  ที่จะกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งดร.กิริฎา   เภาพิจิตร    ผู้อำนวยการวิจัย  ด้านการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)  บอกในการสัมมนา”ทิศทางเศรษฐกิจและค่าเงินโลก   เตรียมรับมือกับความผันผวนไตรมาสสุดท้าย” จัดโดยธนาคารกสิกรไทยว่า   ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส4   ต้องติดตาม ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก  โดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ   ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.นี้
 

ซึ่งผลจากที่สหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  จะทำให้ไทยได้รับผลกระทบ  เนื่องจากการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง  และกระทบต่อผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ  รวมทั้งยังทำให้ราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลง  จากการเทขายหุ้นเพื่อนำเงินออก    และยังเป็นปัจจัยกดดันให้ประเทศเกิดใหม่  รวมทั้งประเทศไทยต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  เพื่อดึงเงินทุนจากต่างชาติ

ส่วนการเลือกตั้งประธานนาธิบดีสหรัฐฯในช่วงกลางเดือน พ.ย. ก็จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของการค้าระหว่างสหรัฐฯกับภูมิภาคเอเชีย   โดยหากนายโดนัล  ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ  จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย    เนื่องจากนาย ทรัมป์  มีนโยบายในการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และพยายามจะไม่เปิดการค้ากับภูมิภาคเอเชีย  แต่หากนางฮิลลารี คลินตัน  ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรีฐ จะยังคงนโยบายที่มีการติดต่อค้าขายกับภูมิภาคเอเชียต่อ   แต่จะมีความเข้มงวดมากขึ้นกว่าสมัยที่นายบารัค  โอบามา  เป็นผู้นำสหรัฐฯ

ซึ่งมุมมองเรื่องอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับนายกอบสิทธิ์   ศิลปชัย    ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)   ที่เห็นว่า  ธนาคารกลางสหรัฐฯจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพียงครั้งเดียว ในช่วงเดือน ธ.ค.  หรืออย่างช้าในช่วงต้นปี 60  จากเดิมที่คาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 2 ครั้งในเดือน ก.ย.และ พ.ย.    เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 2% โดยปัจจุบันอยู่ที่ 1.6%   ทำให้ธนาคารสหรัฐฯมีโอกาสที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อน
 
 
ด้านภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มองว่า   ยังอยู่ในกรอบขยายตัว 2.5-3%  โดยคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 3/59  จะขยายตัวที่ 3%   โดยปัจจัยหนุนหลักยังคงเป็นภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนของภาครัฐที่ยังช่วยเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ตามคาดการณ์    แต่ยังมีปัจจัยกดดัน คือภาคการส่งออกที่คาดว่าจะติดลบ 2%  เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
         
สำหรับค่าเงินบาทนั้นธนาคารประเมินว่า สิ้นปีนี้อยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ และปีหน้าจะอยู่ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์  โดยค่าเงินบาทช่วงนี้ยังผันผวนตามการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเห็นได้จากเม็ดเงินที่อยู่ในตลาดตราสารหนี้ลดลงมาอยู่ที่ 7.4 แสนล้านบาท หรือลดลงไปมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท  โดยคาดว่านักลงทุนต่าชาติมีการโยกเงินเข้าไปในตลาดหุ้น   ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นในช่วงก่อนหน้านี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 13 ก.ย. 2559 เวลา : 18:36:58
19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 11:40 am