ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนเป็นสิ่งที่น่ากังวล จนอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการต่างๆเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยสะท้อนจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๋งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย นางโสมรัศมิ์ จันทรัตน์ และ น.ส.อัจจนา ล่ำซำ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย ร่วมกันรายงานผลการวิจัยเรื่อง "มุมมองใหม่หนี้ครัวเรือนไทย ผ่านบิ๊กดาต้า (Big Data) ของเครดิต บูโร" ว่า หากวัดสัดส่วนหนี้ต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในภาพรวมของไทย ตามมาตรฐานของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ณ ไตรมาส 3 ปี 2559 พบว่า ไทยมีหนี้ต่อจีดีพีอยู่ที่ 71.2% ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รองจากออสเตรเลีย อันดับ 1 อยู่ที่ 123% และเกาหลีใต้อันดับ 2 อยู่ที่ 91.6% ถือเป็นสัดส่วนที่สูงในระดับต้นๆ ของโลก
ข้อมูลจากรายงานวิจัย ยังระบุว่า คนไทยมีหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเข้าถึงหนี้ได้ตั้งแต่อายุ 19 ปี และพบว่า 1 ใน 2 หรือ 50% ของคนในวัยที่เริ่มทำงาน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยคนที่เป็นหนี้และเป็นหนี้เสียมากที่สุดอยู่ในภาคใต้ และภาคกลาง ส่วนภาคเหนือมีหนี้เสียต่ำที่สุด และเรื่องนี้น่าห่วงคือคนในวัยเริ่มทำงานที่มีรายได้ยังไม่สูง กลับเป็นกลุ่มที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ทั้งนี้ การที่กลุ่มคนอายุน้อยที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานเป็นเอ็นพีแอลสูงที่สุด เห็นได้จาก 1 ใน 5 หรือ 20% ของคนวัยเริ่มทำงานเป็นหนี้เสีย และพบว่าคนไทยเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนในวัยเริ่มทำงาน โดย 30% ของคนกลุ่มนี้มีสินเชื่อส่วนบุคคล สิ่งที่น่ากังวลในเชิงนโยบาย คือ เมื่อคนอายุน้อยในวัยเริ่มทำงานเป็นหนี้เสียแล้ว ก็มักจะเข้าถึงสินเชื่อประเภทอื่นในอนาคตได้ลำบาก ต่อไปจะกู้สินเชื่ออื่นๆ เช่น บ้าน รถยนต์ กู้ทำธุรกิจ ฯลฯ
อีกประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะอาจเป็นปัญหาในเชิงเสถียรภาพ ได้แก่ คนอายุมาก 60-80 ปีแล้ว แต่หนี้ก็ยังไม่ลดลง และยังมีการกู้หนี้หรือเข้าถึงหนี้เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะหนี้ประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลเมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น โดยสัดส่วนการเป็นหนี้ในสินเชื่อส่วนบุคคลสูงที่สุด 17% สินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิต 9% และสินเชื่อบ้าน 4%
และจากการสำรวจในเชิงพื้นที่งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า มีการกระจุกตัวของคนที่เป็นหนี้ โดยผู้กู้รายใหญ่ 10% ซึ่งมีปริมาณหนี้รวมกันถึง 62.4% ยังกระจุกตัวในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคกลาง เป็นภาคที่มีจำนวนประชากรที่มีหนี้มากที่สุด เนื่องจากคนในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่มีคุณสมบัติในการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่าพื้นที่อื่น เช่น มีรายได้ประจำที่แน่นอน เป็นต้น
ขณะที่คนในชนบทถึงสัดส่วนการเข้าถึงหนี้ของประชากรจะน้อยกว่า แต่คนกลับมีหนี้ต่อหัวมากกว่าคนในเมือง โดยหนี้ต่อหัวเฉลี่ยของคนในชนบทอยู่ที่ 1.6 แสนบาท/คน ส่วนคนในเขตเมืองมีหนี้ต่อหัวเฉลี่ย 1.2 แสนบาท/คน
ทั้งนี้ เมื่อแยกตามพื้นที่ คนภาคเหนือมีหนี้ต่อหัวสูงที่สุดเฉลี่ยที่ 1.8 แสนบาท/คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) 1.6 แสนบาท/คน ภาคใต้ 1.5 แสนบาท/คน ภาคกลาง 1.37 แสนบาท/คน และคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล1.02 แสนบาท/คน
ข่าวเด่น