ปัญหากำลังซื้อที่ชะลอตัวในปี 2560 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการของบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) พลาดเป้าไปพอสมควร เนื่องจากยอดขายกลุ่มสินค้าหลักโดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า มีการปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากถูกบะหมี่นำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาแพงกว่าตีตลาด ส่งผลให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยถึงกับชะลอตัว ขณะที่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้ามีอัตราการเติบโตสูงถึง 600-700% ภายหลังผู้บริโภคให้การตอบรับดี
นอกจากนี้ การที่ผู้บริโภคหันมาประหยัดค่าใช้จ่ายการซื้อสินค้าข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ด้วยการซื้อเท่าที่มีความจำเป็นเท่านั้น ขณะที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเองก็รอสั่งซื้อแต่สินค้าลดราคา ปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัท สหพัฒน์ฯ ได้รับผลกระทบไปแบบเต็มๆ เห็นได้จากภาพรวมรายได้ในปี 2560 ที่มีรายได้เพียง 31,360 ล้านบาท เติบโตจากปี 2559 เพียง 4% เท่านั้น ส่งผลให้ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 33,000 ล้านบาท
จากยอดขายที่พลาดเป้าหมายดังกล่าว ส่งผลให้ปี 2560 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่แย่ที่สุดของบริษัท สหพัฒน์ฯ เนื่องจากเป็นปีที่มีรายได้ต่ำสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากทุกปีที่ผ่านมารายได้ของบริษัท สหพัฒน์ฯ จะมีรายได้เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 8-10% จึงทำให้ต้องปรับแผนการดำเนินงานใหม่ ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ในการทำตลาดมากขึ้น ด้วยการแบ่งกลยุทธ์หลักออกเป็น 3 รูปแบบ คือ การจับมือกับคู่ค้า (Principal) การเสริมความสัมพันธ์กับ Strategic Partners และการเน้นการจำหน่ายสินค้าออนไลน์
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดที่บริษัทให้ความสำคัญในปีนี้ คือ การจับมือกับคู่ค้า (Principal) ใหม่ ในด้านการจำหน่ายสินค้า เช่น วินามิลค์ (VINAMILK) แบรนด์โยเกิร์ตอันดับ 1 จากเวียดนาม ที่มีจุดเด่นในเรื่องรสชาติ คุณภาพและมาตรฐานอียู ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายรายเดียวในประเทศไทยในทุกช่องทางตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และนมข้นหวานในประเทศไทยในอนาคต รวมไปถึงการนำแบรนด์ ดอร์โก้ (DORCO) แบรนด์มีดโกนยักษ์ใหญ่จากเกาหลีที่มีการเติบโตในตลาดต่างประเทศและส่งออกไปมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และนำแบรนด์ ริชเชส ผลิตภัณฑ์ประเภทนมเปรี้ยว โยเกิร์ต เยลลี่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวและวางจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงเดือนเม.ย.นี้
นายบุญชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของแบรนด์สินค้าของบริษัทก็ได้มีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเช่นกัน โดยในส่วนของแบรนด์ซื่อสัตย์ ได้มีการพัฒนาสินค้ารสชาติใหม่ภายใต้ชื่อ สึนามิ มิลค์ ซีฟู้ด บะหมี่แนวใหม่จากตระกูลซื่อสัตย์ ซิกเนเจอร์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปนม และน้ำมันเจียวที่ปลอดไขมันทรานส์
นอกจากนี้ ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์หมวด Oral Care จากไลอ้อน ได้แก่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ภายใต้แบรนด์ KODOMO, SYSTEMA, SALZ, GOOD AGE, ZACT, WISE และซื่อสัตย์ ก็เดินหน้าพัฒนาสินค้าเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะของผู้บริโภคครอบคลุมทุกช่วงวัย อย่างครบถ้วนเช่นกัน ด้วยการดูแลสุขภาพช่องปาก เหงือก และฟัน ให้แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะที่ผ้าอนามัยเอลิส และทิชชู่เปียกเอลิแอล แบรนด์ใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานการผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับสูง และแบรนด์มาม่า ก็ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ มาม่าโอเค บะหมี่แห้งสไตล์เกาหลี โดยมีจุดเด่นที่รสชาติเผ็ดร้อน เส้นบะหมี่หนานุ่มแบบบะหมี่เกาหลีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น
ในส่วนของกลยุทธ์ที่ 2 คือ การให้ความสำคัญกับการเสริมความสัมพันธ์กับ Strategic Partners อย่างเข้มแข็งผ่านโครงการคู่ค้าพันธมิตร โดยมีการตั้งเป้าหมายการขายรายเดือนร่วมกับร้านค้าอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และกลยุทธ์ที่ 3 คือ การเน้นการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยให้ความสำคัญกับช่องทาง B2B และ B2C ของบริษัทมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าของบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ของคู่ค้า
นายบุญชัย กล่าวอีกว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดในปีนี้บริษัทก็จะให้ความสำคัญเช่นกัน โดยสินค้าใหม่ที่จะผลักดันทำการตลาดอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ กะทิพร้าวหอม และ Project Beyond ซึ่งเป็นร้าน Multi-brand ที่ได้แบรนด์ชั้นนำจากอเมริกาอย่าง Under Armour มาเป็นไฮไลต์ รวมไปถึงการนำสินค้าแบรนด์ดังอื่นๆ มาทำตลาดมากขึ้น เช่น Converse, Mizuno และ Crocs
นอกจากจะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การทำตลาดแล้ว ในปีนี้บริษัท สหพัฒน์ฯ ยังมีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท สร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ในอำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันคลังสินค้าแห่งเก่าเริ่มมีที่จัดเก็บไม่เพียงพอต่อจำนวนสินค้าที่บริษัท สหพัฒน์ฯ นำเข้ามาทำตลาดมากขึ้น จึงทำให้ต้องวางแผนการสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่
จากแนวทางดังกล่าวทำให้บริษัท สหพัฒน์ฯ มั่นใจว่าสิ้นปี 2561 น่าจะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ประมาณ 34,240 ล้านบาท เติบโตจากปี 2560 ที่ประมาณ 9% และคาดว่าจะมีกำไรที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากตอนนี้ภาพรวมเศรษฐกิจกำลังซื้อเริ่มมีการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เป้าหมายดังกล่าวอาจไปถึงไม่ได้หากมีปัจจัยลบมาส่งผลกระทบ ซึ่งปัจจัยลบที่บริษัท สหพัฒน์ฯ มีความเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ คือ ปัญหาการเมือง เพราะปัญหาดังกล่าวมีผลกระทบโดยตรงกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
ข่าวเด่น