อสังหาริมทรัพย์
'Smart City ภูเก็ต' ดูดนักลงทุน-นักท่องเที่ยว


ไนท์แฟรงค์ เผยผลวิจัยตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ต พบอุปทานและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นตัวขับเคลื่อน "ทุนจีน รัสเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ " ดาหน้าซื้อคอนโดฯหรู ดีดราคาสูงขึ้นทุกพื้นที่ ยูนิตติดวิวทะเลราคาพุ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 181,522 บาทต่อตารางเมตร 

ผลวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย ระบุว่าตลาดคอนโดฯในภูเก็ต จะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยอุปทานและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ขณะที่อุปสงค์ยังคงปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ปริมาณอุปทานใหม่ที่เปิดตัวในภูเก็ตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักพัฒนาโครงการภายในประเทศและบริษัทร่วมทุนจะยังเป็นผู้เล่นหลักในตลาด อุปสงค์ทั้งตลาดจะถูกผลักดันด้วยกลุ่มผู้ซื้อจากต่างประเทศ, นักลงทุน, และชาวต่างชาติที่อาศัยในเมืองไทย โดยเฉพาะจากจีน, รัสเซีย, และออสเตรเลีย ที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยหรือลงทุนระยะยาว รวมถึงจะเห็นกลุ่มผู้ซื้อจำนวนมากจากเกาหลีใต้ด้วย 

 


 

ด้านราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรคาดว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้นทั่วทุกพื้นที่ ขณะที่ความต้องการคอนโดฯหรูที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ราคามีการปรับสูงขึ้นในปี 2561 โดยเฉพาะโครงการที่ติดทะเล นอกจากนี้ โครงการ Smart City ในภูเก็ต จะช่วยกระต้ันตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจและวิถีชีวิตแบบอัจฉริยะ และเพื่อสร้างเมืองให้กลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมดิจิทัลในภูมิภาคที่จะช่วยดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว โดยคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2563

สำหรับอุปทานและอุปสงค์ของตลาดคอนโดฯในภูเก็ตปรับตัวลงในปี 2560 โดยจำนวนอุปทานใหม่รวมทั้งหมดในปี 2560 ลดลงไปร้อยละ 29 หรืออยู่ที่ 1,736 ยูนิตส่งผลให้มีอุปทานสะสมของคอนโดฯในภูเก็ตเพิ่มขึ้นไปที่ 14,266 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 14 ปีต่อปี  เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 2,478 ยูนิต เนื่องจากนักพัฒนาโครงการระมัดระวังในด้านการเลือกประเภทการลงทุนและประเภทสินค้าที่นำเสนอแก่กลุ่มผู้ซื้อ

 


 

โดยอุปทานที่เปิดตัวใหม่ติดวิวทะเล, ติดวิวทะเลบางส่วน, และไม่ติดวิวทะเลสามารถคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 44, ร้อยละ54 และร้อยละ 2 ตามลำดับ โดยโครงการใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มตลาดระดับไฮเอนด์ ตั้งอยู่ที่หาดกะรน, หาดในหาน, และหาดบางเทา

 


 

ด้านอุปสงค์มีจำนวนคอนโดมิเนียม 1,147 ยูนิตที่ขายไปแล้วในปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 ปีต่อปี โดยในปี 2560 มีอัตราการครอบครองเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 66 ปรับลดลงร้อยละ 6 ปีต่อปี ขณะที่อัตราการดูดซับแสดงอัตราการปรับลดลงอยู่ที่ร้อยละ 35.8 ปีต่อปี อัตราการครอบครองเฉลี่ยของโครงการใหม่ที่ติดวิวทะเลบางส่วน ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 65 หรือร้อยละ 16.7 ปีต่อปี ในช่วงเดียวกันอัตราการครอบครองยูนิตใหม่ที่ติดวิวทะเล และยูนิตที่ไม่ติดวิวทะเลลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และ 2.5 ตามลำดับ 

 


 

อย่างไรก็ตามโครงการบางแห่งที่มีราคาไม่แพง, มีโปรโมชั่นเงินดาวน์ที่ดึงดูด, มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน, และอยู่ในทำเลที่เข้าถึงได้ง่ายสามารถทำยอดขายได้สูงภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการเปิดตัว โดยมีราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของโครงการใหม่ทั้งหมดที่เปิดตัวในปี 2560 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 135,719 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ปีต่อปี 

ทั้งนี้ จากราคาขายของยูนิตที่ติดวิวทะเลเฉลี่ยอยู่ที่ 181,522 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หากเทียบกับปีก่อน จากแรงผลักดันด้านราคาที่สูงขึ้นของยูนิตใหม่ที่เข้ามาในตลาดส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของยูนิตที่ติดวิวทะเลบางส่วนในปี 2560 ปรับขึ้นไปที่ 115,828 บาทต่อตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นสูงกว่าปี 2559 ประมาณร้อยละ 5 ในช่วงเดียวกัน ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯที่ไม่มีวิวทะเลปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 103,927 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 102,583 บาทต่อตารางเมตรในปี  2560


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 พ.ค. 2561 เวลา : 17:08:20
01-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 1, 2024, 1:00 pm