แม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะมีการแข่งขันกันรุนแรง แต่ช่องว่างในตลาดก็ยังมีอีกมากให้ผู้เล่นหน้าใหม่ และหน้าเก่าเดินหน้าลุยขยายธุรกิจ เนื่องจากเค้กก้อนดังกล่าวมีมูลค่าสูง 1 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ส่วนธุรกิจกลุ่มโรงแรมมีมูลค่าสูงถึง 527,000 ล้านบาทธุรกิจร้านอาหาร 385,000 ล้านบาท และธุรกิจกาแฟ เบเกอรี่ ไอศกรีม จัดเลี้ยง 62,000 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มใบหยก จึงเล็งเห็นโอกาส ด้วยการตั้ง บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด ขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารซึ่งหลังจากก้าวเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารมาได้ 4 ปี กลุ่มใบหยก ก็พบว่ายังมีช่องว่างอีกมากให้เข้าไปขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ หลังจากปัจจุบันมีร้านอาหารที่อยู่ในเครือต้องดูแลทั้งหมด 6 แบรนด์ ประกอบด้วย ร้านอุชิดายะ ราเมน ,ร้านเซไค โนะ ยามะจัง,ร้านอิโคชะ ราเมน ,ร้านพาโบล ชีส ทาร์ต,ร้านโมโมทาโร่ ราเมน และร้านแกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก (gram café & pancakes)
นายปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกรรมการกลุ่มโรงแรมใบหยก และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม กล่าวว่า แม้ว่าในตลาดขนมเบเกอรี่ทั้งแบรนด์นำเข้าและแบรนด์ไทยจะยังมีการแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้แบรนด์ไทยหลายแบรนด์สามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้จนกลายเป็นที่นิยม แต่บริษัทก็ยังมองว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงนิยมที่จะรับประทานขนมที่เป็นแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศอยู่ โดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบ และรสชาติอร่อยสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งในประเทศไทยยังมีร้านขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นเปิดน้อย และในตลาดขนมเบเกอรี่นำเข้านี้ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีก กลุ่มใบหยกจึงเล็งเห็นโอกาสในการนำเข้าร้านขนมสไตล์ญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ด้วยการชูจุดเด่นการรักษามาตรฐานทั้งรสชาติและบริการให้เหมือนกับสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นจุดขายในการมัดใจลูกค้า
นายปิยะเลิศ กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวมองว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดธุรกิจคาเฟ่ หรือขนมหวานยังมีโอกาสโตได้อีก เพราะเชื่อว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทย ยังคงมองหาขนมหรือคาเฟ่ที่สามารถมอบประสบการณ์แปลกใหม่ (New sensation) ขณะที่รับประทาน ไม่ว่าจะเป็นรสสัมผัสใหม่ๆ หน้าตาขนมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ซึ่งสามารถกระตุ้นต่อมความประทับใจจนอยากที่จะแชร์ต่อทางโซเชียลมีเดีย และการเปิดตัวร้านขนมภายใต้แบรนด์แกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก เข้ามาทำตลาดในครั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในจุดนี้ได้
อีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน แกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก คือ การคิดค้นแพนเค้กแบบ fluffy นุ่มฟู เด้งดึ๋ง ละลายในปาก อย่างเมนู “พรีเมี่ยม แพนเค้ก” ที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของแบรนด์ จนกลายเป็นกระแสโด่งดัง เห็นได้จากที่แบรนด์แกรม แพนเค้ก เป็นร้านแพนเค้กที่มีสาขามากที่สุดในญี่ปุ่น (56 สาขา ณ เดือนมิ.ย. 2561) ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการที่จะเปิดสาขาได้มากขนาดนี้ที่ญี่ปุ่น
จากทั้งความแข็งแรงของแบรนด์และกระแสที่โด่งดังอย่างต่อเนื่องของร้านแกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก ทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไปญี่ปุ่นต้องแวะไปทานขนมที่ร้านแกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก จากความนิยมดังกล่าวทำให้ กลุ่มใบหยกเลือกที่จะหยิบแบรนด์ร้านแกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทย เพื่อให้คนไทยได้ทานและรู้จักกับ แพนเค้กสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นต้นตำรับตัวจริง
นายปิยะเลิศ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงงบประมาณที่ใช้ไปในครั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าก็ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีทั้งค่าแฟรนไชส์ อุปกรณ์และวัตถุดิบหลักๆ ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด รวมถึงการออกแบบและการวางโครงสร้างร้านต่างๆ ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของแบรนด์แกรม แพนเค้ก ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหากรวมเม็ดเงินลงทุนแล้วคาดว่าจะอยู่ที่ 8 ล้านบาท ไม่รวมค่าแฟรนไชส์ แต่ถึงแม้ว่าจะใช้งบลงทุนต่อสาขาค่อนข้างสูง แต่บริษัทก็คาดหวังว่าร้านแกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก น่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีไม่ต่ำกว่า 15 % หรือมียอดขายต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 5-6 ล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มใบหยกยังมีแผนที่จะเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 แบรนด์ในอีก 2 สัปดาห์นับจากนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านอาหาร โดยร้านอาหารที่จะนำมาเปิดให้บริการ คือ ร้านเกี๊ยวซ่าภายใต้แบรนด์ ไทยโชว เกี๊ยวซ่า หลังจากนั้นในปี 2562 ก็มีแผนที่จะนำร้านอาหารประเภทปิ้งย่างเข้ามาเปิดให้บริการเพิ่มเติมอีก 1 แบรนด์
แนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ถือเป็นกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ นั่นก็คือ การมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 350-400 ล้านบาท ในปี 2563 ซึ่งปีดังกล่าว กลุ่มใบหยกมีแผนที่จะนำบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนมาลงทุนในธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมทาน ซึ่งจะเป็นสเต็ปต่อไปของกลุ่มใบหยก
นายปิยะเลิศ กล่าวปิดท้ายว่า การตัดสินใจที่จะนำบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้ เหตุผลหลัก คือ การระดมทุนมาลงทุนขยายธุรกิจร้านอาหาร ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจร้านอาหารแช่แข็งพร้อมทาน ซึ่งเบื้องต้นกลุ่มใบหยก มองช่องทางการทำตลาดไว้ที่ร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ โดยขณะนี้บริษัทได้ทำการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการก่อสร้างครัวกลางไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจอาหารในอนาคตที่จะมีทั้งร้านอาหารและอาหารแช่แข็งพร้อมทาน ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว บริษัทคาดว่าในแต่ละปีนับจากนี้น่าจะมีรายได้เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 15%
ข่าวเด่น