แม้ว่าช่วงครึ่งปีหลังจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจะปรับตัวลดลงไปบ้าง แต่สิ้นปี 2561 ประเทศไทยก็ยังตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 37 ล้านคนตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ เนื่องจากสถานการณ์ท่องเที่ยวของประเทศไทย ในช่วงเดือนม.ค. – ส.ค. ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยคิดเป็นจำนวน 25,886,325 คน ขยายตัว 9.94% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 และสร้างรายได้รวม 1,350,317.90 ล้านบาท ขยายตัว12.85% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ลาว อินเดีย ฮ่องกง เวียดนาม สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยดังกล่าวทำให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวระหว่างเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทย คิดเป็นรายได้ 168,045.87 ล้านบาท ขยายตัว 2.79% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวที่สร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรก คือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี สหราชอาณาจักร ฮ่องกง อินเดีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และลาว
จากจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลให้ภาคเอกชนพยายามพลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการช้อปปิ้ง เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจะเน้นไปที่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
ปัจจัยดังกล่าวทำให้การขยายตัวของอุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศไทยยังเติบโตไม่สะท้อนความเป็นจริง ทั้งที่ประเทศไทยมีแหล่งช้อปปิ้งที่หลากหลาย และเพื่อผลักดันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาช้อปปิ้งในประเทศไทยมากขึ้น สมาคมผู้ค้าปลีกไทยและผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีก จึงพยายามผลักดันในด้านของการลดอัตราภาษีสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มประเทศในภูมิภาคเดียวกันได้ เพราะหากมีการลดกำแพงภาษีนำเข้าให้เหลือ 0% หรือไม่เกิน 5% ได้จะสามารถดึงความสนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาช้อปปิ้งในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าประเทศไทยจะมีกำแพงภาษีที่สูง แต่ในแต่ละปีที่ผ่านมาก็ยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาช้อปปิ้งในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการขอคืนแวตรีฟันด์ (VAT Refund for Tourists) ในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวมาขอคืนภาษีคิดเป็นมูลค่า 1,900 ล้านบาท และปี 2560 ที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มเป็น 2,300 ล้านบาท แม้ว่าจุดคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยวจะมีแค่เพียงภายในสนามบินเท่านั้น
จากข้อจำกัดในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวดังกล่าว ส่งผลให้สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมีแผนที่จะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวในการคืนถาษีมูลค่าเพิ่ม โดยขออนุมัติเป็นผู้ให้บริการคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยวผ่านโครงการ Downtown VAT Refund for Tourists ด้วยการเข้าเป็นหนึ่งในคณะทำงานผลักดันโครงการร่วมกับกระทรวงการคลัง และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยผู้แทนประชารัฐกลุ่มคณะทำงานสานพลังประชารัฐ (คณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ : Public-Private Steering Committee) ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและ MICE (D3)
หลังจากร่วมกันทำงานมาตั้งแต่เดือน ธ.ค.2560 และมีการตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท แวต รีฟันด์ เซ็นเตอร์(ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ 4 ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ คือ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และบริษัท โรบินสัน จำกัด(มหาชน) เพื่อเป็นผู้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวจำนวน 5 จุด คือ สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลชิดลม โรบินสันสุขุมวิท และดิ เอ็มโพเรียม
ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2560 มีการพูดคุยร่วมกันหาทางออก และแนวทางปฏิบัติกันมาโดยตลอดจนเกือบจะตกผลึกในเดือน เม.ย. กรมสรรพากรแจ้งว่า โครงการนี้จะเริ่มในวันที่ 27 เม.ย.2561 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ต.ค. 2561 ช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นทดลองโครงการ ช่วงก่อนที่จะเริ่มทดลองกรมสรรพากรก็ได้จัดให้มีการอบรวมร่วมกับเทรนเนอร์บริษัทร่วมทุน เพื่ออธิบายหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และแนวทางปฏิบัติ แต่แล้ววันที่ 28 เม.ย.2561 กรมสรรพากรก็ออกมาแจ้งยกเลิกการลงนาม
จนกระทั่งวันที่ 23 ส.ค.2561 เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากกรมสรรพากร ด้วยการเรียกประชารัฐD3 สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และบริษัทร่วมทุนเข้าร่วมประชุม พร้อมแจ้งว่ากฎเกณฑ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นวันที่ 5 ก.ย.2561 มีประกาศจากกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับ224)เรื่องกำหนดกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติ ระบุว่าวันที่ 10-17 ก.ย.2561ยื่นคำอนุมัติเป็นตัวแทน โดยวันที่ 17 ก.ย.2561 สมาคมและบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท แวต รีฟันด์ เซ็นเตอร์(ไทยแลนด์) ยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 5 จุด และกรมสรรพากรได้ลงนามรับใบสมัครตามที่เสนอ วันที่ 25 ก.ย.2561 กรมสรรพากรจัดส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจพื้นที่ที่ยื่นไปทั้ง 5 จุด 26 ก.ย.2561 กรมฯให้เสนอระบบซอฟท์แวร์ และขั้นตอนดำเนินการ วันที่ 30 ก.ย.ประกาศผลผู้ได้สิทธิ์ดำเนินการรายเดียว คือ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด
สำหรับจุดบริการที่บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส เลือกนำมาทดลองโครงการ Downtown VAT Refund for Tourists เพื่อให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา 6 เดือน (1 ต.ค.2561-30 มี.ค.2562) มีอยู่ด้วยกัน 3 จุด คือ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาลิโด้ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาแบงค็อก ไนท์บาซาร์ และร้านเซเว่นสาขาผดุงด้าว ย่านเยาวราช
จากจุดบริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จากเดิมมีเพียงแค่ในสนามบิน จะทำให้สิ้นปีนี้มีนักท่องเที่ยวมาขอคืนภาษีเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น โครงการนี้ผลทดลองจะเป็นอย่างไรจบวันที่ 30 มี.ค.2562 คงได้รู้กัน
ข่าวเด่น