จากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่หันมาดื่มกาแฟกันมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันมูลค่าตลาดกาแฟก้าวเข้าไปใกล้ตัวเลข 1 แสนล้านบาททุกขณะ และหากตลาดยังคงมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักอยู่อย่างนี้ มูลค่าตลาดรวมกาแฟในประเทศไทยที่จะทะยานก้าวเข้าสู่ตัวเลข 1 แสนล้านบาท ก็น่าจะใช้ระยะเวลาอีกไม่นาน
สำหรับภาพรวมตลาดกาแฟของไทยในปี 2560 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 64,700 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ 1.ตลาดการบริโภคกาแฟในบ้าน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 38,000 ล้านบาท และ 2.ตลาดการบริโภคกาแฟนอกบ้าน หรือ เอาต์ออฟโฮมคอฟฟี่ คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 26,700 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของตลาดกลุ่มนี้ถือเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การขยายตัวที่ดีของตลาดกาแฟนอกบ้าน หรือ เอาต์ออฟโฮมคอฟฟี่ ดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันสามารถแยกย่อยออกมาเป็นกลุ่มได้ดังนี้ คือ ตลาดกาแฟนอกบ้านที่เป็นเชนร้านกาแฟแบบคาเฟ่ ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดประมาณ 17,000 ล้านบาท เติบโตมากถึง 15.7% ต่อปี เนื่องจากมีผู้ประกอบการเชนร้านกาแฟเกิดขึ้นจำนวนมาก และมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกกลุ่ม คือ กลุ่มที่จำหน่ายกาแฟตามสถานที่ต่างๆ เช่น ศูนย์กลางการเดินทางและคมนาคม ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 1,000 ล้านบาท
จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ประกอบกับปัจจุบันอัตราส่วนการบริโภคกาแฟของคนไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ คือ มีอัตราการบริโภคอยู่ที่ประมาณ 300 แก้วต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่นที่บริโภคประมาณ 400 แก้วต่อคนต่อปี และยุโรปมีการบริโภคอยู่ที่ประมาณ 600 แก้วต่อคนต่อปี จึงทำให้ยังมีช่องว่างให้ผู้ประกอบการเข้ามาทำธุรกิจกาแฟหลากหลายรูปแบบ และที่นิยมกันมาที่สุด คือ การทำร้านกาแฟ
ส่วนการทำตลาดกาแฟสำเร็จรูปปัจจุบัน ยังคงไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาทำตลาด เนื่องจากผู้นำตลาดอย่างเนสกาแฟ ค่อนข้างมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับเบอร์รองอย่างมอคโคน่า และเบอร์ดี้เอง ก็มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ และพัฒนารูปแบบของการทำตลาดอย่างต่อเนื่องจึงทำให้รายใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดกาแฟดังกล่าว ก้าวเข้ามาทำตลาดค่อนข้างยาก
ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดของเนสกาแฟ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 60% ในทรีอินวัน และ 80% ในตลาดกาแฟสำเร็จรูป ทำให้เนสกาแฟต้องมีพัฒนาการในการทำตลาดรูปแบบใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัว ‘เนสกาแฟ ฮับ แอท บีทีเอส ชิดลม’ เพื่อนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของการดื่มกาแฟสดจากเนสกาแฟ มัดใจผู้บริโภคที่สัญจรด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส กลยุทธ์การตลาดดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลธุรกิจใหม่ในการรุกตลาดกาแฟนอกบ้านในประเทศไทย
และเพื่อตอกย้ำความสำเร็จของการทำตลาดในประเทศไทย ล่าสุด เนสกาแฟได้ทุ่มงบสูงถึง 800 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ “เนสกาแฟ...เชื่อมทุกความผูกพัน” เพื่อฉลองครบรอบ 45 ปีเนสกาแฟในประเทศไทย และสื่อถึงจุดยืนของแบรนด์ที่เชื่อมความผูกพันให้คนไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมตอกย้ำความสำเร็จในการครองตำแหน่งแบรนด์กาแฟอันดับ 1 ของไทย ที่ได้มอบประสบการณ์แห่งการดื่มด่ำในรสชาติกาแฟคุณภาพจาก 3 ผลิตภัณฑ์หลัก คือ เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ,เนสกาแฟ เรดคัพ และ เนสกาแฟกระป๋อง
นายแวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 45 ปี ที่ เนสกาแฟ ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์กาแฟที่หลากหลาย ทั้งด้านรูปแบบและรสชาติ และยังเหมาะสมกับทุกโอกาส ทำให้แบรนด์เนสกาแฟเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู,เนสกาแฟเรดคัพ และ เนสกาแฟกระป๋อง
จากการทำตลาดในประเทศไทยที่ยาวนานดังกล่าว ทำให้ปัจจุบัน เนสกาแฟกลายเป็นส่วนสำคัญของการสร้างความผูกพันและมิตรภาพต่างๆ ซึ่งจากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว จึงทำให้เนสกาแฟ คิดแคมเปญ “เนสกาแฟ...เชื่อมทุกความผูกพัน” ขึ้นมา เพื่อสานต่อประสบการณ์แห่งการเชื่อมความผูกพันระหว่างกันในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมไปถึงการส่งเสริมให้คนไทยเสริมสร้างความผูกพันที่มีต่อกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดยืนของแบรนด์เนสกาแฟ
สำหรับแคมเปญ “เนสกาแฟ...เชื่อมทุกความผูกพัน” ที่ เนสกาแฟ เปิดตัวขึ้นมาในครั้งนี้ จะใช้วิธีการสื่อสารไปยังผู้บริโภคผ่านภาพยนตร์โฆษณา 3 เวอร์ชั่น และมิวสิควิดีโอ 1 ชุด ควบคู่ไปกับการใช้สื่อทางดิจิทัล สื่อโฆษณานอกบ้าน และกิจกรรมในร้านค้าหรือจุดขาย โดยภาพยนตร์โฆษณาและมิวสิควิดีโอจะสื่อถึงความสัมพันธ์ของผู้คนในทุกรูปแบบอย่างซาบซึ้งและโดนใจ ทั้งความผูกพันในครอบครัว ระหว่างเพื่อนฝูง และคนรัก ด้วยการใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียงเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับผู้บริโภค คือ โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย และ พรอยมน-มนสภรณ์ ชาญเฉลิม
ในส่วนของภาพยนตร์โฆษณาชุดแรกจะเป็นตัวเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู มี โป๊ป-ธนวรรธน์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของมิตรภาพดีๆ ที่พัฒนาขึ้นผ่านกลิ่นของกาแฟคั่วบดที่หอมเกินห้ามใจ ส่วนภาพยนตร์โฆษณาตัวที่ 2 จะเป็นเนสกาแฟเรดคัพ มี พรอยมน-มนสภรณ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ บอกเล่าเรื่องราวในครอบครัวที่มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นจากรสชาติหอมกรุ่นของกาแฟแท้แก้วโปรดเฉพาะตัว และภาพยนตร์โฆษณาตัวที่ 3 คือ เนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม มี ปั้นจั่น-ปรมะ เป็นพรีเซ็นเตอร์ บอกเล่าเรื่องราวของการเชื่อมความผูกพันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับคนรัก ผ่านกาแฟรสชาติอร่อยเข้มเกินคาดที่จะช่วยเติมพลังให้คุณมุ่งมั่นทำทุกวันให้ดีที่สุด
จากแนวทางการทำตลาดดังกล่าว เนสกาแฟ มั่นใจว่าจะสามารถสร้างแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และนำไปสู่ยอดขายที่ตามมา
ข่าวเด่น