”มาชิตะ”ประกาศแผนเชิงรุกบุกตลาดคนจีนอย่างจริงจังในปีนี้ดึง“นนท์กุล - ชานน สันตินธรกุล”มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสาหร่ายมาชิตะสำหรับการทำตลาดในประเทศจีน
จากจำนวนประชากรจีนที่มีมากเกือบ1,400 ล้านคนในจำนวนดังกล่าวมีการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยประมาณ10.54 ล้านคน ส่งผลให้หลายธุรกิจในประเทศไทยเล็งเห็นโอกาสที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในประเทศจีน ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อมในการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆที่ตรงกับความต้องการ เพื่อดึงเม็ดเงินในกระเป๋าของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทย
สาหร่าย”มาชิตะ”ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่เล็งเห็นโอกาสดังกล่าว เนื่องจากคนจีนมีความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์สาหร่ายของคนไทย หลังจากเจ้าตลาดอย่างแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ปักหมุดบุกตลาดจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จนปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายที่มาจากการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศจีนมากกว่าประเทศไทย
จากโอกาสทางการตลาดที่เกิดขึ้นดังกล่าว“มาชิตะ”จึงออกมาประกาศแผนเชิงรุกบุกตลาดคนจีนอย่างจริงจังในปีนี้ ทั้งในรูปแบบของการส่งออกสาหร่ายเข้าไปทำตลาดในประเทศจีนและขยายฐานลูกค้าคนจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยในปี2561ที่ผ่านมา“มาชิตะ”ได้มีการดึง“นนท์กุล - ชานน สันตินธรกุล”มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสาหร่ายมาชิตะสำหรับการทำตลาดในประเทศจีน เนื่องจากคนจีนมีความชื่นชอบ“นนท์กุล” จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างแบรนด์“มาชิตะ”ให้เป็นที่รู้จักผ่านตัว นนท์กุล ที่เป็นพรีเซ็นเตอร์
นายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด ธุรกิจนอนแอลกอฮอลล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจสาหร่ายมาชิตะในปี 2562นี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้าคนจีนทั้งในส่วนของการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศจีนและการขยายฐานนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่ใหญ่
นอกจากจะใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นใบเบิกทางในการทำตลาดเจาะกลุ่มลุกค้าชาวจีนแล้ว“มาชิตะ”ยังมีแผนที่จะพัฒนาสินค้ารสชาติใหม่ๆที่คนจีนชื่นชอบเข้ามาทำตลาดเพิ่มเติมควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศจีนโดยหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากลูกค้าจีนในสิ้นปี2562นี้เพิ่มเป็น20%จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ4-5%
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจตลาดในประเทศปีนี้จะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ โดยการออกสินค้าใหม่พร้อมปรับสูตรการผลิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดสาหร่าย และเอาใจกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ โดยล่าสุดได้ปรับสูตรสาหร่าย“มาชิตะ”ด้วยการลดผงชูรส(Monosodium Glutamate)0% แต่ยังคงไว้ซึ่งความอร่อย โดยใช้สาหร่ายคุณภาพที่ได้มาตรฐานเกรด A จากประเทศเกาหลี 100% และมาชิตะเป็นสาหร่ายไทยแบรนด์แรกที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยระดับสากลจากสถาบันรับรองด้านรสชาติและคุณภาพอาหารนานาชาติ ITQI
นอกจากนี้ยังมีการปรับบรรจุภัณฑ์(แพ็คเกจจิ้ง)สินค้าใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีสีสันโดดเด่น สะดุดตา สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและกลยุทธ์ด้านแพ็คเกจจิ้ง ยังเป็นด่านแรกที่ช่วยดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย สร้างความประทับใจ(First impression) ได้ตั้งแต่บนชั้นวางสินค้า(เชลฟ์) หรือจุดจำหน่ายต่างๆและเพื่อตอกย้ำการเป็นสาหร่ายเกรดเอ จากประเทศเกหลีและตอกย้ำกลยุทธ์การใช้ศิลปิน K-POP ล่าสุด“มาชิตะ”ได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่“พัคจีฮุน” (Park Jihoon) อดีตสมาชิกบอยแบนด์ “วอนนาวัน” (WANNA ONE) ศิลปินไอดอลดัง K-POPเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ซึ่งหลังจากใช้กลยุทธ์ดังกล่าวบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เชื่อว่าจะส่งผลให้แบรนด์“มาชิตะ”มีการเติบโตหลายด้านได้อย่างแน่นอน
นายธิติพร กล่าวว่าบริษัทยังทุ่มงบประมาณมากกว่า50ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมการตลาดผ่านแคมเปญในรูปแบบต่างๆเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น เช่น การจัดกิจกรรมบนโลกออนไลน์ทายพรีเซ็นเตอร์คนใหม่กระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์(Engagement) เปิดให้กลุ่มเป้าหมายแฟนคลับได้เข้ามาร่วมกิจกรรมกับแบรนด์และพรีเซ็นเตอร์คนใหม่อย่างใกล้ชิดและสื่อสารการตลาดสร้างการรับรู้สินค้าสูตรใหม่แบบไม่มีผงชูรสผ่านสื่ออย่างครบวงจรทั้ง Above the Line และ Below the Line
ปัจจุบัน“มาชิตะ”แบบไม่มีผงชูรสได้เริ่มทำตลาดผ่านช่องทางจำหน่ายร้านค้าทั่วไป (Traditional trade) และห้างค้าปลีกสมัยใหม่(Modern trade)เรีบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนของสาหร่ายทอดมีรสชาติให้เลือกด้วยกัน5รสชาติ ได้แก่ รสออริจินัล รสสไปซี่ รสสไปซี่บาร์บีคิวเกาหลี รสลาบ และรสต้มยำ ขณะที่ประเภทอบสไตล์เกาหลีมี 3 รสชาติ ได้แก่ รสออริจินัล รสสไปซี่และรสต้มยำ ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายฐานลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น คาดว่าสิ้นปี 2562นี้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ600ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ510ล้านบาท
ส่วนภาพรวมตลาดสาหร่ายในปี2562นี้คาดว่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ5% จากปี 2561 ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 3,031 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต5% เแบ่งเป็นเซ็กเมนต์สาหร่ายทอดประมาณ 1,932 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน63.7% มีอัตราการเติบโต2% กลุ่มสาหร่ายอบ691 ล้านบาท สัดส่วน 22.8% เติบโต 3% กลุ่มสาหร่ายย่าง 386 ล้านบาท สัดส่วน 12.7% เติบโต 24.6% และกลุ่มสาหร่ายเทมปุระ 21 ล้านบาท สัดส่วน 0.7% เติบโต 134%
ทั้งนี้ในส่วนของมูลค่าตลาดรวมสาหร่ายดังกล่าวผู้นำตลาดยังคงเป็นแบรนด์เถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 66.9% ตามด้วยมาชิตะครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ17% และซิลิโกะครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ3% ส่วนที่เหลือประมาณ13.1% เป็นของแบรนด์อื่นๆที่อยู่ที่ตลาด ซึ่งหลังจากออกมาลุยตลาดอย่างหนัก“มาชิตะ”มั่นใจว่าสิ้นปี 2562 นี้จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้เป็น 20% อย่างแน่นอน
ข่าวเด่น