แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะยังอยู่ในฤดูหนาวแต่ผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องปรับอากาศก็เริ่มทยอยออกมาเปิดกลยุทธ์การทำตลาดเครื่องปรับอากาศ เพื่อชิงยอดขายในช่วงหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งปีนี้ดูเหมือนว่าการแข่งขันจะมีความรุนแรง เนื่องจากตอนนี้เครื่องปรับอากาศแบรนด์จีนค่อนข้างบุกหนัก เลยทำให้แบรนด์เกาหลี และญี่ปุ่นต้องออกมาป้องกันยอดขายกันอย่างหนักหน่วง เพราะกลยุทธ์ของแบรนด์จีนที่ใช้ราคาเป็นตัวนำเริ่มได้ผลกับการทดลองใช้เครื่องปรับอากาศเครื่องแรก
“ไดกิ้น” ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับผลกระทบจากการรุกหนักของแบรนด์เครื่องปรับอากาศจากประเทศจีน โดยเฉพาะการทำตลาดเครื่องปรับอากาศที่พักอาศัยหรือแอร์บ้าน เนื่องจากปัจจุบันได้มีการใช้กลยุทธ์ทำการตลาดเครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ที่ราคาค่อนข้างต่ำ จึงทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งหันไปทดลองใช้เครื่องปรับอากาศแบรนด์จีน เพราะว่าราคาเข้าถึงง่าย
นอกจากนี้ยังมีการการันตีคุณภาพด้วยยอดขาย และความมีชื่อเสียงอันดับต้นๆในประเทศจีน จึงทำให้คนไทยส่วนหนึ่งเริ่มมีความเชื่อมั่นในแบรนด์จีนและทดลองซื้อสินค้าใช้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ปีที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศแบรนด์จีนได้ส่วนแบ่งจากแบรนด์เกาหลี และญี่ปุ่นไปได้พอสมควร อย่างไรก็ดีจากการที่อัตราการถือครองเครื่องปรับอากาศของคนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ยังมีช่องว่างเข้าไปทำตลาดได้อีกมาก โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด ดังนั้นไดกิ้นจึงเล็งเห็นโอกาสที่จะเข้าไปขยายตลาดในต่างจังหวัดควบคู่ไปกับการทำตลาดในกรุงเทพฯแลปริมณฑล
นายสมพร จันกรีนภาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ผู้บริหารเครื่องปรับอากาศไดกิ้น กล่าวว่า ตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนและเมื่อพิจารณาจากอัตราการครอบครองแอร์ของครัวเรือนในไทยแล้วจะพบว่า ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ของจำนวนครัวเรือนไทยทั้งหมด มีเพียงตัวเลขการครอบครองเครื่องปรับอากาศของกรุงเทพและปริมณฑลเท่านั้นที่มีมีอัตราการครอบครองเฉลี่ยเกิน 50% อยู่ที่ประมาณ 51.5% ส่วนภาคกลาง ตลาดใหญ่รองลงมา มีอัตราการครอบครองอยู่ที่ประมาณ 32.4% ภาคเหนือมีการครอบครองอยู่ที่ 24.9% ภาคใต้ มีการครอบครองอยู่ที่ 20.3% และภาคอีสานมีการถือครองอยู่ที่ประมาณ 13.6%
สำหรับระบบเครื่องปรับอากาศที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ อินเวอร์เตอร์ เนื่องจากปัจจุบันระดับราคาเครื่องปรับอากาศในระบบอินเวร์เตอร์และระบบธรรมดา มีช่องว่างราคาต่างกันไม่มาก จึงเป็นเหตุจูงใจให้ผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจใช้เครื่องปรับอาศในระบบอินเวอร์เตอร์มากขึ้น ซึ่งตลาดที่ ไดกิ้นจะให้ความสนใจเข้าไปทำตลาดเป็นพิเศษในปีนี้ คือ ต่างจังหวัด เนื่องจากการถือครองยังน้อย
ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจของไดกิ้นปีนี้จะรุกขยายตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยสินค้าที่จะนำเข้าไปทำตลาดจะมีทั้งเครื่องปรับอากาศที่พักอาศัยหรือแอร์บ้านและเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์บริษัทจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากที่ผ่านมา ไดกิ้น ยังไม่ได้เข้าไปทำตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ มากนัก ซึ่งหลังจากเข้าไปขยายตลาดมากขึ้น ไดกิ้น คาดว่าจะมีสัดส่วนเครื่องปรับอากาศที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์อยู่ที่ 50 : 50 ได้อย่างแน่นอน จากปัจจุบันมีสัดส่วนเครื่องปรับอากาศที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 51% และเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์อยู่ที่ 49%
นายสมพร ยอมรับว่าตลาดรวมเครื่องปรับอากาศที่พักอาศัยหายไป เพราะได้รับผลกระทบจากแบรนด์จีนที่จำหน่ายสินค้าราคาต่ำกว่า 30% ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้บริษัทต้องหันมามุ่งเน้นตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์มากขึ้น เพื่อเป็นการทดแทนรายได้ที่หายไป ด้วยการขยายตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ในตลาดต่างจังหวัด เสริมความแข็งแกร่งให้กับภาพรวมบริษัท ซึ่งปัจจุบันเครื่องปรับอากาศที่อยู่อาศัยแบรนด์ไดกิ้นเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว
ปัจจุบัน ไดกิ้น มีส่วนแบ่งตลาดรวมเครื่องปรับอากาศที่อยู่อาศัยและเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์อยู่ที่ 28% เป็นอับดับ 1 ในตลาดเครื่องปรับอากาศรวมมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกับอีกแบรนด์ที่อยู่ในอันดับ 2ส่วนอันดับ 3 ยังถูกทิ้งห่างจากเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ค่อนข้างมาก
ด้านนายอาคิฮิสะ โยโกยามา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่าในโอกาสครบรอบปีที่ 95 ของเครื่องปรับอากาศไดกิ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปรับอากาศจากประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1924 ในญี่ปุ่น มีฐานการผลิตมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน ครอบครัวไดกิ้นมีพนักงานกว่า 76,484 คน มีสำนักงานใหญ่และบริษัทในเครือกว่า 292 แห่งทั่วโลก โดยจากปี 2009 ธุรกิจของไดกิ้นเติบโตอย่างรวดเร็วมียอดขาย 1,202,420 ล้านเยน หรือ 335,188 ล้านบาท และในปี 2019 ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,209,561 ล้านเยน หรือ 615,941.42 ล้านบาท
สำหรับเทคโนโลยีความเย็นของกลุ่มเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ ไดกิ้น ได้ทำการเปิดตัวเข้ามาทำตลาดในปี 2563 นี้ คือ Magnetic Bearing Chillers ระบบทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในขณะนี้ มีวิธีการทำงานคล้ายรถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่นที่ใช้หลักการทำงานของสนามแม่เหล็ก แกนในการหมุนจะลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้ลดแรงเสียดทานระหว่างการหมุน ลดการใช้พลังงาน ให้ระบบความเย็นที่เงียบและลดค่าดูแลรักษาลงเนื่องจากไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ โดยไดกิ้นเป็นเครื่องปรับอากาศรายแรกของไทยที่พัฒนาระบบ Magnetic Bearing Chillers ให้ใช้กับเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่มีขนาด 1.2 -14.4 ล้าน บีทียู หรือ 1,200 ตันความเย็น ซึ่งถือเป็นขนาดที่ใหญ่มากในตลาดเครื่องปรับอากาศ โดยมีกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือ กลุ่มอาคารขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม 5 ดาว และเครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เป็นต้น
ส่วนเครื่องปรับอากาศที่พักอาศัยหรือแอร์บ้าน ได้ทำการเพิ่มขนาด BTU สูงสุดในรุ่น 36,000 BTU ซึ่ง ไดกิ้น ถือเป็นเจ้าแรกของ Room Air Inverter ในขนาด BTU นี้ และได้รับการยอมรับในฐานะเครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ ที่มีระบบความเย็นอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานสูงสุด ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Home Kit ซึ่งหลังจากเปิดตัวสินค้าเข้าทำตลาด ไดกิ้น มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดี
ข่าวเด่น