ประกัน
ซื้อ"ประกันชีวิต"แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ-ครอบครัว


เครื่องมือทางการเงินที่สามารถให้ความคุ้มครองกับคุณและคนที่รักในยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดนั่นก็คือ ประกันชีวิต นอกจากนี้ประกันชีวิตยังได้ประโยชน์ในเรื่องการออมเงินและสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำประกัน มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯและคุณพิชญา ซุ่นทรัพย์  ขอแนะนำว่าคุณต้องพิจารณาให้ละเอียด เพราะมีหลายรูปแบบ ซึ่งประกันชีวิตในแต่ละแบบตอบโจทย์เป้าหมายการเงินที่แตกต่างกันไป


 
 
 
 
 
เริ่มจาก 1.ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา การขึ้นชื่อว่าชั่วระยะเวลา แสดงว่ามีกำหนดระยะเวลาคุ้มครองชัดเจนแน่นอนที่มักเห็นในท้องตลาด เช่น คุ้มครอง 5 ปี 10 ปี 15 ปี และ 20 ปี เป็นต้น ประกันรูปแบบนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในหมู่คนไทย เพราะเป็นเบี้ยจ่ายทิ้ง พอครบกำหนดอายุกรมธรรม์แล้วไม่มีเงินเหลือคืนแก่ผู้ถือกรมธรรม์แต่ข้อดี คือ ให้ความคุ้มครองที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประกันชีวิตรูปแบบอื่น

ประเภทที่ 2 ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองระยะยาวจนกระทั่งเสียชีวิตหรือเมื่อสูงอายุ เช่น 90 ปี หรือ 99 ปี เป็นต้น มักให้ทุนประกันคุ้มครองที่สูง มีทั้งแบบชำระเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว ข้อดีคือเบี้ยที่ส่งไปไม่ใช่เบี้ยจ่ายทิ้งทั้งหมด เห็นได้จากมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาความคุ้มครอง ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ผู้เอาประกันสามารถกู้เงินกรมธรรม์มาใช้ หรือเวนคืนกรมธรรม์เพื่อนำเงินมาใช้ได้

ส่วนประเภทที่ 3.ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ นอกจากความคุ้มครองที่ได้รับแล้ว ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ถือเป็นเครื่องมือออมเงินที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในเรื่องของการสร้างวินัยการออมระยะยาวและให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการออมเงินในธนาคารแบบปกติ

ประเภทที่ 4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ เหมาะสำหรับการออมเงินเพื่อเป็นรายได้ในยามเกษียณ โดยผู้เอาประกันจะได้รับเงินคืนในลักษณะคล้ายกับเงินบำนาญเป็นรายงวดหลังอายุ 55 ปี หรือ 60 ปีเป็นต้นไป จนกระทั่งครบกำหนดสัญญาหรือจนกระทั่งเสียชีวิต แต่เป็นประกันที่เน้นเรื่องการออมเงินเป็นหลัก จึงให้ความคุ้มครองน้อย เมื่อเทียบกับแบบประกันชีวิตอื่น

นอกจากนี้ยังมีอนุสัญญาประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่สามารถเลือกทำเพิ่มเติมแนบกับตัวสัญญาประกันชีวิตหลักข้างต้นได้ โดยจะครอบคลุมถึงค่าห้องผู้ป่วย ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายวัน โรคร้ายแรงและอุบัติเหตุ เป็นต้น ซึ่งสามารถเลือกทำให้เหมาะสมกับสถานพยาบาลที่ใช้ประจำและสวัสดิการที่ตัวเองมีได้

จะเห็นได้ว่าประกันแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนั้นลองมาดูกันว่าหากคุณอยู่ในช่วงวัยที่แตกต่างกัน ควรทำประกันรูปแบบใดถึงจะเหมาะสม ถ้าคุณอยู่ในช่วงสะสม (เริ่มทำงาน)ซึ่งในช่วงวัยนี้เริ่มทำงานอายุ 20 – 25 ปี มักจะเป็นช่วงที่มีรายได้ค่อนข้างจำกัด แต่อยู่ในช่วงค้นหาตัวเองซึ่งทำให้คนในวัยนี้มีรายจ่ายค่อนข้างสูง ถ้าหากบริหารรายรับรายจ่ายได้ดีและเริ่มลงทุนได้ไว จะสามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากมีรายจ่ายเกิดขึ้นในช่วงนี้เช่น เจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ อาจส่งผลให้เงินออมหมดไปหรือกระทั่งกลายเป็นหนี้สินก็เป็นได้

ดังนั้นในวัยนี้ควรให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงที่จะทำให้ความมั่งคั่งลดลง เช่น การทำประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ ทั้งนี้ไม่ควรซื้ออนุสัญญาสุขภาพข้างต้นกับประกันชั่วระยะเวลาหรือแบบสะสมทรัพย์ แต่ควรทำคู่กับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เพื่อให้อนุสัญญาสุขภาพยังคงคุ้มครองในระยะยาว ขณะที่ทุนประกันชีวิตควรพิจารณาทำในจำนวนที่เหมาะสมกับภาระที่ต้องดูแลคนข้างหลัง แต่โดยส่วนมากในวัยเริ่มทำงาน บิดามารดายังคงสามารถทำงานได้อยู่จึงยังไม่จำเป็นต้องทำทุนประกันสูงนัก แต่ให้เน้นเก็บออมและลงทุนจะเหมาะสมกว่า
หรือถ้าคุณอยู่ในช่วงมั่นคง (มีครอบครัว)ในวัย 30 – 40 ปี รายได้เริ่มสูงขึ้น มีหลายคนซื้อทรัพย์สินชิ้นใหญ่แต่ก็มาพร้อมกับหนี้สินก้อนโต และยังเป็นช่วงที่เริ่มสร้างครอบครัวและมีบุตร ทำให้มีความรับผิดชอบและภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ซึ่งหากคนใดคนหนึ่งของครอบครัวทำงานไม่ได้ หรือจากไปก่อนวัยอันควรอาจส่งผลกระทบต่อครอบครัวคุณอย่างรุนแรงได้

คุณถ้าอยู่ในวัยนี้จึงควรให้ความสำคัญกับการทำทุนประกันชีวิตให้ครอบคลุมภาระหนี้สินที่ก่อไว้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นภาระกับคนข้างหลัง ที่สำคัญผู้ที่เป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว ควรพิจารณาทำทุนประกันให้พอเพียงกับค่าใช้จ่ายของครอบครัวและอนาคตการศึกษาของบุตรด้วย โดยอาจเลือกทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา เช่น ทำแบบชั่วระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี หรือตลอดระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ หรือทำแบบชั่วระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี หรือแบบตลอดชีพให้คุ้มครองจนกระทั่งบุตรเรียนจบ นอกจากนี้รายได้ที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้มีภาระภาษีตามมา การวางแผนเก็บออมผ่านประกันชีวิตที่มีอายุสัญญาเกิน 10 ปีขึ้นไป หรืออนุสัญญาค่ารักษาพยาบาล สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ด้วย

ถ้าคุณอยู่ในระยะอุทิศ (ก่อนเกษียณจนถึงหลังเกษียณอายุ) ช่วงวัยนี้บุตรเริ่มเรียนจบ ภาระหนี้ก้อนใหญ่ก็เริ่มผ่อนหมด ในขณะที่รายได้อยู่ในระดับสูงทำให้มีเงินเหลือเก็บพอสมควร แต่ด้วยระยะเวลาทำงานเหลือน้อยลง ดังนั้นคุณควรให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณอย่างการเก็บออมเป็นพิเศษ รวมถึงสุขภาพที่นับวันเริ่มจะถดถอยลงไป ประกันชีวิตที่ตอบโจทย์ในวัยนี้จึงเน้นไปที่การออมเป็นหลัก เช่น ประกันสะสมทรัพย์ โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบบำนาญที่นอกจากจะเป็นเงินออมแล้วยังได้สิทธิลดหย่อนทางภาษีเพิ่มเติมอีก 15% ของเงินได้ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. SSF และ RMF สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เพิ่มเติมจากสิทธิ์ของประกันชีวิตปกติ 100,000 บาทแรก
การเลือกซื้อแบบประกันในระยะอุทิศนี้ ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับระยะเวลาการทำงานที่เหลืออยู่ด้วยไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นภาระรายจ่ายในช่วงหลังเกษียณที่อาจจะไม่มีรายได้เข้ามาแล้ว ทั้งนี้หากสุขภาพยังปกติอยู่ควรพิจารณาทำประกันสุขภาพเพิ่มเติม เพราะมีโอกาสที่จะเจ็บป่วยสูงขึ้นในวัยเกษียณ

จะเห็นว่าคนในแต่ละวัย ต่างมีสถานะและความต้องการทางการเงินที่ต่างกัน จึงทำให้แบบประกันที่เหมาะสมแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นการเลือกซื้อประกันชีวิตควรอยู่บนสถานภาพและภาระของแต่ละบุคคล ซึ่งอาจต่างกันแม้จะอยู่ในช่วงวัยเดียวกันก็ตาม จึงควรพิจารณาให้เหมาะสมกับตัวเองทั้งในแง่ความจำเป็น ความเสี่ยง และความสามารถในการชำระด้วย
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 07 ก.พ. 2563 เวลา : 16:07:21
07-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 7, 2024, 11:48 pm