ข่าวประชาสัมพันธ์
รวมหนี้ไว้แหล่งเดียว-ชำระที่เดียว แก้หนี้ได้เบ็ดเสร็จ....จริงหรือ!


เมื่อคุณเป็นหนี้ โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน หรือเงินไม่เพียงพอในการใช้จ่าย และชำระหนี้ แถมเจ้าหนี้หลายรายวนเวียนกันเข้ามากวนใจ “เริ่มทวงถาม” คุณเกิดอาการรำคาญ หันพึ่งพากู้เงินแหล่งอื่นมาชำระหนี้ ผลสุดท้ายไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาหนี้ที่แท้จริง กลับเป็นการสร้างภาระเพิ่มขึ้น และที่สำคัญยิ่งทำให้คุณมีปัญหาพัวพันมากขึ้น

 
มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ และดร.ฬุลิยา ธีระธัญศิริกุล ขอแนะนำแนวทางการแก้ปัญหาหนี้นั้น มีหลายวิธีด้วยกัน วิธีหนึ่งที่นิยมใช้กับการเป็นหนี้หลายแหล่งและมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ได้แก่ การรวมหนี้ หมายถึง การรวบรวมหนี้ที่มีปัญหาหรือคาดว่าจะมีปัญหาในอนาคต และนำไปสู่วิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของตัวเอง
 
 
สำหรับขั้นตอนการรวมหนี้

เพียงคุณเริ่มต้นด้วยการ หยุดก่อหนี้ใหม่ทุกรูปแบบ

จากนั้น คุณก็ทำการรวบรวมรายละเอียดหนี้ที่มีทั้งหมด เพื่อทราบสภาพหนี้ที่แท้จริงของคุณ รวมทั้งยอดผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนที่เป็นภาระผูกพันอยู่ โดยจัดทำในรูปแบบตารางที่เข้าใจได้ง่าย ได้แก่ ประเภทหนี้และเจ้าหนี้ จำนวนหนี้คงเหลือ จำนวนเงินผ่อนชำระ จำนวนงวดผ่อนชำระคงเหลือ อัตราดอกเบี้ย


ต่อมา คุณต้องจัดหาแหล่งเงินเพื่อชำระหนี้ ด้วยการรีไฟแนนซ์ ดังนี้

คุณต้องขายทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ กรณีที่ไม่ต้องการเป็นหนี้อีก หากคุณพอมีทรัพย์สินที่สามารถขายเพื่อนำมาชำระหนี้ได้ จากตัวอย่างเช่น คุณควรสำรวจและขายทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ อาจจะสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดจำนวน 24,500 บาท หรือชำระได้บางส่วน ก็จะทำให้ภาระหนี้และภาระการผ่อนชำระหนี้ลดลงได้

หากู้แหล่งใหม่ที่ให้เงินกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เดิม โดยสอบถามจากสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง เพื่อเปรียบเทียบ จากนั้นคุณก็เลือกทางเลือกที่ดีที่สุด โดยมีเกณฑ์การพิจารณา คือ ประเภทเงินกู้ หลักประกัน วงเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย จำนวนเงินผ่อนชำระต่องวด และค่าธรรมเนียม

จากตัวอย่าง สมมติได้แหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อชำระหนี้จากแหล่งเงินกู้เดิม 3 รายการ โดยแหล่งเงินกู้ใหม่ให้วงเงินกู้ทั้งหมด 24,500 บาท ดอกเบี้ย 12% ต่อปี ชำระรวม 24 งวดๆ ละ 1,266 บาท จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยลดลง จำนวนเงินผ่อนชำระรวมลดลงจากเดือนละ 3,189.50 บาท เหลือเพียง 1,266 บาท ((24,500 + (24,500*0.12*2))/24) หมายความว่า คุณจะมีสภาพคล่องทางการเงินแต่ละเดือนเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งต้องยอมรับถ้ามีการรีไฟแนนซ์ คือ ภาระที่ต้องชำระหนี้จะนานขึ้น เช่น กรณีตัวอย่างเป็น 24 เดือน

ชำระหนี้ด้วยความมีวินัย มีความอดทนในการชำระหนี้ และระมัดระวังอย่าใช้จ่ายเกินตัว
 
ข้อควรพิจารณาก่อนรวมหนี้

กรณีรีไฟแนนซ์ คุณควรศึกษาเงื่อนไขการให้สินเชื่อแหล่งใหม่อย่างละเอียด เช่น วงเงินที่ให้กู้ อัตราดอกเบี้ย จำนวนงวดผ่อนชำระ รวมทั้งเงื่อนไขพิเศษต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการกู้ อัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระ เป็นต้น

คุณควรความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหาหนี้ให้หมดสิ้นและต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีภาระการชำระหนี้ที่มากเกินไป
 
ระดับหนี้ขนาดไหนถึงได้เวลาต้องรวมหนี้

คุณต้องสังเกตุตัวเองว่า คุณเริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินจากการชำระหนี้ เงินไม่เพียงพอในการใช้จ่ายและชำระหนี้ในแต่ละเดือน

หรือคุณมีภาระผ่อนชำระหนี้มากจนเกินไป เช่น 60% ของรายได้ หรือผ่อนชำระหนี้ได้เพียงการชำระหนี้ขั้นต่ำทุกรายการ

หรือสัญญาณร้าย เมื่อคุณเริ่มมีการกู้เงินเพื่อนำมาชำระหนี้ที่มีอยู่ 
 
ข้อดีของการรวมหนี้

การรวมหนี้ หากคุณมีหนี้เพียงแหล่งเดียว ชำระหนี้เพียงที่เดียว ไม่สับสนวุ่นวายว่าควรจ่ายใครก่อนหลัง จำนวนเท่าไหร่

นอกจากนี้ คุณยังไม่ต้องมาปวดหัวกับการถูกทวงถามจากเจ้าหนี้หลายราย

ที่สำคัญจำนวนเงินผ่อนชำระหนี้ลดลง ทำให้มีสภาพคล่องหรือมีเงินใช้จ่ายและชำระหนี้ได้มากขึ้น

คุณจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง และคุณเองจะรู้ระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ที่แน่นอน (ตามข้อตกลง)
 
ทั้งนี้ ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา รัฐบาลจัดให้มีโครงการรวมหนี้เพื่อแก้ปัญหาหนี้บัตรให้กับคนไทย ในนามโครงการคลินิกแก้หนี้ระยะ 3 ครอบคลุมกรณีหนี้บัตรที่เป็น NPL (Non-Performing Loan) ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2563 ทั้งกรณี (1) ยังไม่เข้าสู่กระบวนการศาล (2) เจ้าหนี้ฟ้องแล้วเป็นคดีดำ และ (3) ฟ้องร้องมีคำพิพากษาแล้วเป็นคดีแดง

โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิประโยชน์อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ระยะเวลาการชำระหนี้นานขึ้น โดยติดต่อบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ให้ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่ช่วยประสานงานระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ (บริการฟรี) และให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-stop service)
 

 


บันทึกโดย : วันที่ : 04 พ.ค. 2563 เวลา : 15:08:46
01-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 1, 2024, 6:26 pm