หลังจากเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมามีการปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่ไปแล้วรอบหนึ่ง ด้วยการดึง นางวรรณิภา ภักดีบุตร อดีตลูกหม้อยักษ์สินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของไทยอย่างบริษัท ยูนิลีเวอร์ (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด มานั่งตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้มีการขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากนางวรรณิภา มีความเชี่ยวชาญในด้านของการทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในบริษัท ยูนิเวอร์ฯ มานานเกือบ 30 ปี
นอกจากนี้ การดึงนักการตลาดมือดีอย่างนางวรรณิภา เข้าร่วมงานยังถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กร เนื่องจากปี 2561 บริษัท โอสถสภา นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อ OSP ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 2561 ด้วยการถูกบรรจุในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท โอสถสภา ก็มีผลประกอบการดีมาโดยตลอด
และเพื่อให้องค์กรมีความเข้มแข็งและธุรกิจมีการขยายตัวมากขึ้น ประกอบกับ นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหารและ CEO มีปัญหาด้านสุขภาพ ทางคณะกรรมการบริษัทจึงมีมติให้มีการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่ เพื่อเสริมศักยภาพทางธุรกิจ และให้เกิดความคล่องตัว พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน จึงได้มีการแต่งตั้ง นายธนา ไชยประสิทธิ์ หนึ่งในผู้บริหารรุ่นที่ 4 ของตระกูลโอสถานุเคราะห์ ขึ้นเป็นรักษาการCEO
นายสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เหตุผลที่คณะกรรมการแต่งตั้งให้นายธนาดำรงตำแหน่งดังกล่าว เพราะนายธนาเป็นคณะกรรมการบริหารร่วมงานกับโอสถสภามานานกว่า 30 ปี และเป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์ครอบคลุมในทุกธุรกิจของบริษัท อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์และใกล้ชิดกับพนักงานทุกระดับ จึงน่าจะทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารมากขึ้น ส่วนนายเพชร โอสถานุเคราะห์ จะขึ้นมาดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการ
พร้อมกันนี้ ยังได้มีการแต่งตั้งให้ นายธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ขึ้นมาเป็นรองประธานคณะกรรมการบริหารร่วมกับคณะกรรมการในชุดนี้ด้วย และ นายสลิล ปิ่นขยัน เป็นประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง พร้อมกับมอบหมายให้ นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ ผู้บริหารที่มีประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจที่ผ่านงานกับบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติกว่า 40 ปีมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร
ส่วน นางวรรณิภา ภักดีบุตร ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด(มหาชน) เหมือนเดิม ด้วยการนำทีมผู้บริหารมืออาชีพชุดเดิม ซึ่งล้วนเป็นทีมที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากหลากหลายด้านทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ มาร่วมกันขับเคลื่อนองค์กร
ด้าน นายธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO กล่าวว่า รู้สึกขอบคุณคณะกรรมการบริษัททุกท่านที่ได้มอบความไว้วางใจนี้ให้ ตนจะมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้บริษัท โอสถสภา ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทยที่มีอายุกว่า 129 ปี มีธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป
สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ โอสถสภา มีแผนที่จะเดินหน้าเปิดโรงงานเครื่องดื่มที่นิคมอุตสาหกรรมทิลาวา ประเทศเมียนมาร์ เพื่อขยายตลาดกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาผลประกอบการยังไม่ดีตามที่คาดการณ์ไว้ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปขยายตลาดในประเทศเวียดนาม ด้วยการเข้าไปซื้อหุ้น 60% ในบริษัท Osotspa VTA Joint Stock Company เพื่อประกอบธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เนื่องจาก โอสถสภา มีความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของตลาดประเทศเวียดนาม เพราะเวียดนามมีจำนวนประชากรสูงและส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามยังมีอัตราการเติบโตดีต่อเนื่อง เนื่องจากกำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ดังนั้น โอสถสภา จึงเล็งเห็นโอกาสในการเข้าไปขยายและต่อยอดเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าของหุ้นส่วนทางธุรกิจ ด้วยการพัฒนาสินค้าที่มีความแตกต่าง และสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่เหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ภาพรวมการเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศ CLM (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ซึ่งถือเป็นตลาดหลักบริษัท โอสถสภา ยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่ดีไว้ได้อย่างต่อเนื่อง และหลังจากปีนี้ไปคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในประเทศเมียนมาร์เข้ามาเสริมกำลังการผลิต ให้โอสถสภา สามารถส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในประเทศต่างๆ ของกลุ่มประเทศ CLM ได้เพิ่มขึ้น
สำหรับการเปิดตัวสินค้า Slimma เครื่องดื่มฟังคชั่นนอลดริ้งค์ใหม่ เข้าทำตลาดในช่วงที่ผ่านมาถือว่าสร้างปรากฏการณ์ในด้านของยอดขายเครื่องดื่มได้เป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถสร้างยอดขายติด Top 5 ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มในช่องทางออนไลน์อย่าง Lazada ได้สำเร็จ และล่าสุดได้เตรียมขยายช่องทางขายเพิ่มขึ้น เพื่อให้ภาพรวมครึ่งปีหลังมีผลประกอบการเติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนการดำเนินงานของ โอสถสภา ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมามีกำไรสุทธิที่ 926 ล้านบาท เติบโต 4.2% โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มเอ็ม-150 เครื่องดื่มผสมวิตามินซี ซี-วิต และผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์ ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวถือว่าเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 แต่ในเดือนมิถุนายน บริษัท โอสถสภา ก็ยังมีส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงานสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 55.6% และ ในไตรมาส 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังค์ชั่นนัลดริ้งค์ยังทำสถิติส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดตลอดกาลที่ 38.6% โดยเครื่องดื่มวิตามิน ซี ภายใต้แบรนด์ C Vitt สามารถทำยอดขายทะลุ 99 ล้านขวด ตรงตามเป้าหมาย ซึ่งเร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกัน ยังได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดภายใต้แบรนด์ Babimild Healthi Plus เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
ข่าวเด่น