การตลาด
สกู๊ป ''สมาคมผู้ค้าไทย'' ลุยทำงานเชิงรุกปลุกค้าปลีกไทย สู่ ''Lifestyle Hub of Asia''


แม้ว่าสถานการณ์ของภาคธุรกิจค้าปลีกในตอนนี้จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแต่ละรายพยายามปรับกลยุทธ์การทำตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน  แต่ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ไม่รู้ว่าจะจบลงในช่วงเวลาใด  ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกต้องหันมาผนึกกำลังร่วมกันพัฒนาภาคธุรกิจให้มีความเข้มแข็ง โดยมีสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเป็นหัวหอกหลักดำเนินการในเรื่องต่างๆ

ล่าสุดได้มีการตอบกลับจดหมาย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการร่วมเสนอแนะความคิดเห็นด้านแนวทางและการฟื้นฟูภาคธุรกิจค้าปลีกท่ามกลางวิกฤติที่เผชิญอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์และบทบาทหลักของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ที่มุ่งเน้นผลักดันเศรษฐกิจฐานชุมชน (Local Economy) ซึ่งนำไปสู่รากฐานที่แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ
 
 
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกและบริการเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของประเทศ ที่มีเส้นเลือดใหญ่ คอยกระจายเลือดไปหล่อเลี้ยงระบบและส่วนต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย เกษตรกร การจ้างงาน การกระจายสินค้า การให้บริการ รวมถึงการท่องเที่ยว สูบฉีดและสร้างเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศให้แข็งแรงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
 
สำหรับแนวทางการดำเนินงานที่สมาคมผู้ประกอบการค้าปลีกจะยึดเป็นหลักในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจค้าปลีก คือ  การพาภาคธุรกิจค้าปลีกของไทยก้าวไปสู่การเป็น “สุดยอดการใช้ชีวิต” แห่งเอเชีย (Lifestyle Hub of Asia) ด้วยการพัฒนาบุคลากร ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยนับแสนล้าน ผ่าน 3 แกนหลัก คือ 1.ผลักดันภาคการค้า ค้าปลีก-ค้าส่ง สู่ระดับเวิลด์คลาส 2.ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมผลิต ยกระดับสินค้าสู่เวทีโลก 3.บูรณการภาคบริการอย่างครบวงจร (อาหาร สุขภาพ และสันทนาการ)
 
แนวทางดังกล่าวนอกจากจะช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจค้าปลีกให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกันให้มีความแข็งแกร่งตามไปด้วย เช่น  การช่วยให้เอสเอ็มอีมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในภาคธุรกิจค้าปลีกได้ไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านราย   การช่วยสร้างงานโดยตรงกว่า 6.2 ล้านคน และการสร้างรายได้ให้ภาครัฐผ่านการจ่ายภาษีคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
 
นอกจากนี้  สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ยังมีข้อเสนอแนะในด้านของแนวทางการพัฒนาภาคค้าปลีกต่อภาครัฐ ด้วยการแบ่งแนวทางการพัฒนาออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1. แนวทางการพัฒนาระยะสั้น ในการกระตุ้นการบริโภค และ 2.แนวทางการพัฒนาเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส
 
 
ในส่วนของแนวทางการพัฒนาระยะสั้นนั้น  สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ พยุงการจ้างงาน ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทย มีแนวทางเสนอต่อภาครัฐว่า  ควรมีการจ้างงานเป็นแบบรายชั่วโมง  เนื่องจากธุรกิจการค้าปลีกสินค้าและบริการมีช่วงเวลาการให้บริการที่ไม่สม่ำเสมอ ช่วงที่ลูกค้าหนาแน่นก็จะเป็นช่วงเที่ยงและช่วงเย็น รวมทั้งเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งแตกต่างจากการดำเนินงานภาคผลิตอย่างสิ้นเชิง 
 
หากภาครัฐประกาศอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงในช่วงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ก็จะช่วยกระจายการจ้างงานได้ ขณะเดียวกัน ลูกจ้างก็จะสามารถรับงานได้ยืดหยุ่นและมีระยะเวลาทำงานได้มากขึ้น (สามารถทำงานได้กับหลายบริษัทใน 1 วันได้) ส่วนนายจ้างก็สามารถเพิ่มอัตราการจ้างงานให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่ต้องการได้ สมาคมฯจึงขอเสนอให้กระทรวงแรงงานประกาศค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น โดยหากสามารถจ้างงานได้มากกว่า 20% จะสามารถสร้างงานเพิ่มได้มากกว่า 1.2 ล้านอัตรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะภาคการค้าปลีก แต่จะเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วนและทุกขนาดของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร ภัตตาคาร และธุรกิจบริการอื่นๆ อีกด้วย
 
ข้อเสนอต่อมาที่ถือว่ามีความจำเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้  คือ การกระตุ้นการบริโภคในวงกว้างผ่านโครงการช้อปช่วยชาติ ด้วยวงเงิน 50,000 บาท ในกรอบเวลา 60 วัน ซึ่งจะสามารถสร้างเงินสะพัด 75,000 ล้านบาท ภายใน 60 วัน เช่นเดียวกับการกระตุ้นการบริโภคในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสินค้าไลฟ์สไตล์นำเข้า ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ในไทยสูงถึง 30% ซึ่งสูงที่สุดใน 15 ประเทศในแถบเอเชีย ทำให้คนหันไปซื้อสินค้าที่ต่างประเทศแทน จึงเสนอให้ทดลองปรับลดภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 4 เดือน เช่น ลดจากเดิม 30% เป็น 10% จะสามารถสร้างเงินสะพัดได้ถึง 25,000 ล้านบาท ภายใน 4 เดือน
 
นอกจากนี้  ยังควรขับเคลื่อน SME ให้อยู่รอดและแข็งแรง เสนอให้มีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) 0.1% ผ่านผู้ค้าปลีกรายใหญ่ โดยใช้งบประมาณ 25,000 ล้านบาท จากวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐตั้งไว้แล้ว เร่งจ่ายเงิน SME ขนาดเล็กจากเดิม 30 วัน เป็นภายใน 7 วัน ส่งผลให้สามารถเพิ่มสภาพคล่องสู่ SME กว่า 5 แสนรายและไม่สร้างหนี้เสียให้ธนาคารพาณิชย์
 
 
สำหรับแนวทางพัฒนาเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส สมาคมผู้ค้าปลีกไทย  ได้เสนอแนะไป 2 ข้อด้วยกัน คือ
 
1.มาตรการควบคุม E-Commerce ในด้านราคาและการเสียภาษี เสนอให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีนำเข้า และภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่บาทแรก และห้าม E-Commerce ขายราคาต่ำกว่าทุน เนื่องจากจะทำให้เอสเอ็มอี และค้าปลีกไทยได้รับผลกระทบในด้านของการแข่งขัน ซึ่งหากดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้จะทำให้รัฐมีรายได้จัดเก็บภาษีจากE-Commerce ได้ปีละกว่า 2 หมื่นล้านบาท 
 
ข้อที่ 2 คือ การกำกับดูแลดำเนินธุรกิจค้าปลีกทุกช่องทางอย่างโปร่งใส ยุติธรรม ไม่จำกัดเพียงค้าปลีกแบบมีหน้าร้านที่มีการเสียภาษีอย่างถูกต้องเท่านั้น ในขณะที่ค้าปลีกออนไลน์และ travel retail ยังไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุมที่ชัดเจน จึงเสนอให้มีการกำกับดูแลอย่างโปร่งใส โดยใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ยุติธรรม เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างสมดุล 
 
ทั้งนี้  ข้อเสนอแนะดังกล่าวหากได้รับการอนุมัติจะส่งผลให้ SME อยู่รอดกว่า 1.3 ล้านราย เกิดการขยายการจ้างงานจาก 6.2 ล้านอัตรา เป็น 7.4 ล้านอัตรา และจะมีเม็ดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากกว่า 1 แสนล้าน รวมทั้งสร้างรายได้ให้ภาครัฐเพิ่มขึ้นกว่า 3 หมื่นล้านบาท 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 12 ก.ย. 2563 เวลา : 11:21:11
26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 7:47 pm