การเกิดขึ้นของโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ไม่ได้มีแค่ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆ เท่านั้น เพราะบางธุรกิจก็ได้รับปัจจัยบวกจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวไปแบบเต็มๆเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างเช่น เจลล้างมือ แอลกอฮอลล์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ รวมไปถึงหน้ากากอนามัย ซึ่งช่วงต้นปีที่ผ่านมาประเทศไทยถือว่าอยู่ในภาวะที่ขาดแคลนเลยก็ว่าได้
จากการแนวโน้มที่ดีของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ส่งผลให้หลายบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับอานิสงส์ไปแบบเต็มๆ เช่นเดียวกับกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยและอาเซียน ที่ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวไปแบบเต็มๆ เห็นได้จากยอดขายที่ออกมาประกาศว่าเติบโตมากที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
นายโรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ประเทศไทยและอาเซียน กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าจะจบลงเมื่อใด และเพื่อป้องกับผลกระทบในด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ภาคธุรกิจควรมีการวางแผนสำรองเตรียมไว้ หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจะได้ปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ของสังคมจะไม่เอื้อต่อการทำตลาด ซึ่งในส่วนของกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ก็ได้มีการปรับตัว ด้วยการปรับแผนการทำตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์เช่นกัน จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างหนัก แต่ภาพรวมยอดขายของยูนิลีเวอร์ในไทยยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีและถือว่าสูงสุดในรอบ 10 ปี
สำหรับสินค้าที่ทำให้กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ยังมียอดขายที่ดี คือ กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับสุขอนามัยและการฆ่าเชื้อ เนื่องจากกำลังเป็นที่ต้องการสูงในตลาด และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้กลุ่มบริษัท ยูนิเวอร์ มีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม เช่น โปรแม็กซ์ น้ำยาฆ่าเชื้อ หรือแม้แต่สินค้าแบรนด์ไลฟ์บอย ที่นำกลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งหลังจากที่เงียบหายไปนาน
นอกจากนี้ ในส่วนของกลุ่มสินค้าอาหารก็มียอดขายเติบโตที่ดีเช่นกัน เพราะในช่วงที่ผ่านมาคนไทยอยู่บ้านกันมากขึ้น และทำอาหารรับประทานเองกันมากขึ้น จากเหตุปัจจัยดังกล่าวกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ จึงได้นำไอศกรีมภายใต้แบรนด์เวียเนตต้า กลับเข้ามาทำตลาดอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ในส่วนของโจ๊กคนอร์ ก็มียอดขายที่เติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นกลุ่มอาหารสำเร็จรูปที่รับประทานได้ง่าย
อย่างไรก็ดี ในส่วนของกลุ่มสินค้าที่นอกเหนือจากกลุ่มดังกล่าว ยูนิลีเวอร์ ยอมรับว่ามียอดขายไม่เติบโต เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันจะเน้นซื้อสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งจากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้กลุ่มยูนิลีเวอร์ ต้องปรับแผนการตลาดให้มีความชัดเจนและมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่มีโรคโควิด-19 เป็นตัวแปร
นายโรเบิร์ต กล่าวต่อว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขยายการลงทุนและเดินหน้าทำการตลาดกลุ่มสินค้าต่างๆ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญ โดยในวันที่ 22 ธ.ค. 2563 ที่จะถึงนี้ ยูนิลีเวอร์จะมีอายุครบรอบ 88 ปี สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถเข้าไปอยู่ในครัวเรือนไทยได้ถึง 99% สิ่งนี้ทำให้บริษัทรู้สึกผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย
อย่างไรก็ดี การทำธุรกิจตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา นายโรเบิร์ต ยอมรับว่า เป็นปีที่ท้าทายอย่างมากสำหรับทุกคน เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นถือเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากและมีการส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ความไม่สงบทางการเมือง หรือการที่ภาคธุรกิจไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้เหมือนเดิม ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อหลายภาคธุรกิจ แต่ในส่วนของกลุ่มยูนิลีเวอร์ ยังคงยืนหยัดที่จะดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้บริโภคและสังคมเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด
ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทยูนิวีเวอร์ ได้มีการบริจาคผลิตภัณฑ์มูลค่า 200 ล้านบาทให้กับผู้บริโภค เช่น เจลทำความสะอาด ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์คนอร์และวอลล์ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด และเครื่องช่วยหายใจ อีกทั้งยังดูแลพนักงานทุกคนเป็นอย่างดี เพราะความปลอดภัยของพนักงานมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
พร้อมกันนี้ กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ยังช่วยสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินของพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยการยืดระยะเวลาชำระเงินเป็นพิเศษ รวมทั้งลดราคาสินค้าหลายรายการ และประกาศมาตรการความช่วยเหลือ พร้อมกับประกาศพันธกิจใหม่ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่ยังไม่คลี่คลาย เนื่องจากกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ มีเป้าหมายที่จะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเร่งฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้า จากการใช้คาร์บอนหมุนเวียนหรือการรีไซเคิล
นายโรเบิร์ต กล่าวอีกว่า ภายในปี 2573 ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าทั้งหมดของยูนิลีเวอร์จะเลิกใช้คาร์บอนที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล แล้วเปลี่ยนไปใช้คาร์บอนหมุนเวียนหรือที่มาจากการรีไซเคิลแทน ยูนิลีเวอร์ยังตั้งกองทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโรสำหรับโครงการ Clean Future เพื่อใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ และการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และของเสีย รวมทั้งการใช้สารเคมีคาร์บอนต่ำ รวมถึงการคิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดน้ำและย่อยสลายทางชีวภาพได้ ลดขยะอาหารจากกระบวนการผลิตและเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี 2 เท่า
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ยังจะมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารทั่วโลก โดยภายในปี 2568 คาดว่าจะลดปริมาณขยะอาหารจากกระบวนการผลิตโดยตรงนับตั้งแต่ที่โรงงานไปจนถึงชั้นวางของในร้านค้าให้ได้ครึ่งหนึ่งทั่วโลก และจะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเป็นสองเท่าตัวทั่วโลก รวมถึงเดินหน้าลดแคลอรี ปริมาณเกลือและน้ำตาลในทุกผลิตภัณฑ์ลง ผ่านพันธกิจ “Future Food”
ข่าวเด่น