นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไืทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานแถลงข่าว “CEO TALK” พบสื่อมวลชน ผ่านช่องทาง Zoom เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2564 ว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ประชาชนคนไทยหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น และตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน ทำให้มีการซื้อความคุ้มครองกรมธรรม์ใหม่เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการต่ออายุกรมธรรม์มากขึ้นด้วย
“จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้เมืองไทยประกันชีวิตไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายที่เดิมเคยวางไว้ โดยยังคงเป้าหมายเดิม เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่เติบโตในอัตรา 8-10% โดยจะนำเสนอผ่านผลิตภัณฑ์ที่โดนใจกลุ่มผู้บริโภคผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้สอดรับกับยุคดิจิทัล”นายสาระกล่าว
นายสาระกล่าวต่อไปว่า โดยผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯจะมุ่งเน้นการขายเป็นหลัก จะเป็นผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน ทั้ง Unit Linked และ Universal Life รวมทั้ง Participating policy ที่เน้นการลงทุนตามความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันภัยยอมรับได้ รวมถึงเน้นขายผลิตภัณฑ์แบบประกันที่ให้ความคุ้มครองระยะยาว และผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพโรคร้ายแรงมากขึ้น โดยจะปรับลดการขายผลิตภัณฑ์ประเภทออมทรัพย์ที่มีการการันตีผลตอบแทน
สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ นายสาระกล่าวว่า บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 195,544.03 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.25%
โดยแยกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 56,227.53 ล้านบาท เติบโต 10.38% แบ่งเป็น เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 31,107.34 ล้านบาท เติบโต ลดลง 6.35% เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว 25,120.19 ล้านบาท เติบโต 41.72%
และ เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 139,316.51 ล้านบาท เติบโต 0.63% โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ อยู่ที่ 81%
สำหรับภาพรวมธุรกิจประกันชีวิต นายสาระในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ธุรกิจประกันชีวิตไทยยังต้องเผชิญปัจจัยที่มีความท้าทายอีกมากและในหลากหลายมิติ อาทิ เศรษฐกิจของประเทศและของโลกที่ยังผันผวน,ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ,การระบาดของโรคไวรัสโควิด-19,ภาวะการว่างงาน,ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาวะสังคมผู้สูงอายุ ทำให้คาดว่าภาพรวมธุรกิจประกันชีวิต จะมีอัตราการเติบโต ติดลบ 1% ถึงเติบโต 1% และมีอัตราความคงอยู่ที่ 81-82%
ข่าวเด่น