การศึกษา-สิ่งแวดล้อม-สาธารณสุข
กลุ่มประชาชน เรียกร้อง ขอให้ยกเลิกการสวมหน้ากาก


กลุ่มผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของโควิดมากว่า 2 ปีนำโดยนิตยสารข้ามห้วงมหรรณพที่เป็นสื่อกลาง ร่วมกับ กลุ่มภาคการท่องเที่ยว กลุ่มผู้ปกครองและเด็กและกลุ่มภาคประชาชน กว่า 50 ชีวิต ได้รวมตัวกันเพื่อ ต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่กระทรวงสาธารณสุขโดยมี คุณปวีณ์ริศา สกุลเกียรติศรุต รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีได้เป็นตัวแทนในการรับเรื่องและข้อเรียกร้องในครั้งนี้

นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพที่เป็นสื่อกลางในครั้งนี้ ได้เรียกร้อง ขอให้ยกเลิกการสวมหน้ากาก คืนชีวิตปกติให้ประชาชนทั้งประเทศ โดยเร็วที่สุด เร่งยุติโควิดเพื่อความอยู่รอดของเศรษฐกิจชาติ หยุดครอบงำประชาชนให้กลัวโควิด โควิดคือไข้หวัด รักษาหายได้เอง ที่ผ่านมามีการกระพือกระแสให้เกิดความกลัวจนประเทศเสียหายทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสภาพจิตใจของประชาชนอย่างใหญ่หลวง เราต้องการชีวิตปกติให้ประชาชนในเรื่องของจิตใจการสวมหน้ากากเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ มันฝังลึกลงไปในจิตสำนึก เราต้องอยู่แบบคนป่วย และสิ่งที่สาธารณสุขทำมันเกินไป ถึงเวลาที่ต้องกล้าหาญได้แล้ว ประเทศอื่นเขากล้าหาญแต่ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังที่สุดแล้วในหนึ่งบรรดาที่ล้าหลังก็คือวิธีการทำงานของแพทย์

 

กลุ่มภาคการท่องเที่ยวกล่าวถึงข้อเรียกร้องว่ายังคงได้รับผลกระทบ และต้องการให้ประกาศยกเลิกการสวมหน้ากากอย่างเป็นทางการคืนยิ้มสยามให้ประเทศ ไม่ใช่ทยอยการนำร่องแต่ละจังหวัด เพราะไม่มีความชัดเจนไม่มีความกล้าหาญในการตัดสินใจ และมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้เลยเนื่องจากนานาประเทศได้เดินหน้ายกเลิกการสวมหน้ากากกันแล้ว ต่างจากประเทศไทย ที่กำลังเป็นประเทศล้าหลังที่สุดในการคืนชีวิตปกติให้ประชาชน โดยทำอะไรแบบกั๊กๆ ไม่ชัดเจน ตราบใดที่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ การปฏิบัติงานภาคท่องเที่ยวก็ยังต้องสวมหน้ากากอยู่ ทำงานใส่หน้ากากเสิร์ฟอาหาร เป็นเวลากว่าสองปีครึ่ง เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด ลูกค้าก็รู้สึกอึดอัดแขกก็รู้สึกอึดอัด เข้ามาที่โรงแรมแต่เหมือนอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ในประเทศไทยเหมือนมาอยู่ในโรงพยาบาล

กลุ่มผู้ปกครองและเด็ก ยื่นข้อเรียกร้อง หยุดขโมยชีวิตวัยเยาว์ คืนออกซิเจนให้กับเด็กการสวมหน้ากากเป็นการกระตุ้นให้เด็กเกิดความกลัว กลัวอากาศที่ตนหายใจว่าจะมี เชื้อโรค ทั้งที่ในความเป็นจริงเด็กมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ที่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้นได้ และหน้ากากก็มิได้ช่วยป้องกันเชื้อโรคแต่อย่างใด แต่มีผลทำให้เด็กเกิดความกลัวความกังวล และฝังความกลัวในจิตใต้สำนึกไปนาน ส่งผลเสียหายต่อพัฒนาการในเด็ก ดังนั้นการออกมาตรการใดๆที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กโดยเฉพาะในระยะยาว จำต้องได้รับการพิจารณารอบด้านด้วยความเข้าใจและเห็นใจ สามปีที่ผ่านมาเป็นความบีบคั้นทรมานทั้งกายและใจของเด็กๆมากเกินพอแล้ว สถิติการประเมินสุขภาพจิตเด็ก โดยกรมสุขภาพจิต ปีที่ผ่านมา เด็กและเยาวซนไทยมีภาวะความเครียดสูง เสี่ยงซึมเศร้า เสี่ยงฆ่าตัว ตาย รวมเสี่ยงมากถึง 82%

 

กลุ่มภาคประชาชน ขอเร่งยกเลิกให้ผู้ประกาศข่าวและดำเนินรายการต่างๆ สวมหน้า กากเพราะสิ่งนี้ตอกย้ำว่า ประเทศป่วยและประชาชนต้องใช้ชีวิตแบบคนป่วยขอให้ประกาศอย่างเป็นทางการ และวงกว้าง ไม่ใช่ยังบีบคั้นบางพื้นที่อีก ทุกวันนี้สภาพจิตใจถูกบีบคั้นมากเกินพอแล้ว ขอให้ม่ีความเมตตาเห็นอกเห็นใจประชาชน หมอนั่งทำงานอยู่ในห้องแอร์ แต่ประชาชนทนทุกข์กลางแดด ไม่ใช่ประชาชนทุกคนที่นั่งทำงานในห้องแอร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่ต้องทำงานกลางแจ้ง ซึ่งอากาศร้อน ยิ่งต้องสวมหน้ากากทำให้ขาดอ็อกซิเจน มีผลต่อการทำงานและยังทำลายทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง

 

 

ถึงเวลาที่ต้องกล้าหาญได้แล้ว สาธารณสุขต้องคำนึงถึงสิทธิในการหายใจของประชาชน สิทธิในการในการมีชีวิตปกติ ที่ผ่านมานโยบายต่างๆ ลิดรอนสิทธิมาโดยตลอด ใครที่ยังมีความกลัวอยากใช้ชีวิตแบบใส่หน้ากากอยู่มันก็เป็นสิทธิของเขา แต่คนที่ไม่ป่วยเขาต้องได้รับสิทธิในการใช้ที่ปกติเช่นกัน...

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 31 พ.ค. 2565 เวลา : 18:49:42
28-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 28, 2024, 7:58 am