แบงก์-นอนแบงก์
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ภาพรวมยังปรับขึ้นได้ต่อ"


คาด SET ยังปรับขึ้นได้ต่อในภาพรวม โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1582 และ 1592 จุด ตามลำดับ ด้วยนักลงทุนในตลาดคลายกังวลเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ย หลังตัวเลขจ้างงานเอกชนของสหรัฐในเดือน ส.ค. ต่ำกว่าคาด ด้านแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1570 และ 1560 จุด ตามลำดับ ใช้เป็นจุดติดตาม หากต่ำกว่า จะเกิดสัญญาณพักตัว


ประเด็นสำคัญ
 
• สหรัฐรายงาน GDP 2Q66 (ประมาณการครั้งที่ 2) +2.1% ขยายตัวต่ำกว่าคาด และต่ำกว่าประมาณการครั้งที่ 1 ที่ +2.4% ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ส.ค. เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด

• FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 88.5% ที่ Fed จะคง ดบ. ในการประชุม ก.ย. และให้น้ำหนัก 11.5% ที่จะขึ้น ดบ. 0.25% สู่ 5.50-5.75% นอกจากนี้ให้น้ำหนัก 52% ที่ Fed จะคง ดบ. ในการประชุม พ.ย. และให้น้ำหนัก 43.3% ที่จะขึ้น ดบ. 0.25% สู่ 5.50-5.75%

• EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 10.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เกินกว่าที่คาดว่าจะลดลง 5.2 ล้านบาร์เรล

• ธนาคารรายใหญ่หลายแห่งของจีนเตรียมปรับลด ดบ. เงินกู้จำนองและ ดบ. เงินฝากตามคำสั่งรัฐบาลเพื่อกระตุ้น ศก. ใน ปท.

• BOJ ส่งสัญญาณปรับนโยบายการเงิน 1Q67 หากเงินเฟ้อแตะเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน

• สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปรายงานยอดขายรถยนต์ ก.ค. +15.2% เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 12 หลังจากที่อุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

• โตโยต้ามอเตอร์ระบุยอดขายทั่วโลก ก.ค. +8%YoY สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.6 แสนคัน ส่วนการผลิตทั่วโลก ก.ค. +15%YoY

• ที่ประชุม กบน. มีมติตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ถัง 15 กก. ที่ 423 บ. ออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1 - 30 ก.ย. 66 จากเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 31 ส.ค. นี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพประชาชน

กลยุทธ์การลงทุน

มอง SET แกว่งตัวในกรอบ 1550-1600 จุด หลังการเมืองไทยชัดเจนขึ้น โดยคาดภายหลังการจัดตั้ง ครม. ใหม่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาช่วยหนุนบรรยากาศลงทุนและ Fund Flow แต่อย่างไรก็ดี เรายังคงกังวลภาพรวมเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน ซึ่งอาจกดดัน Upside ของ SET ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว

Weekly Portfolio : มอง SET มีแรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ แต่ Upside ยังจำกัดจากความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังนี้

1) หุ้นที่เหมาะลงทุนระยะกลาง แนะนำ 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรม ซึ่งคาด 2H66 กำไรจะเติบโต HoH และ YoY เลือก PTT BCP KCE HANA BDMS BCH AOT ERW

2) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากนโยบายเศรษฐกิจทำทันทีหลังพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล เลือก กลุ่มค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม (TNP CPALL CPAXT BJC OSP HTC) ซึ่งนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท พักหนี้เกษตรกรและธุรกิจเฉพาะ รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จะทำให้กำลังซื้อภาคครัวเรือนดีขึ้น ช่วยหนุนการเติบโตของยอดขาย

3) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK GULF CRC BGRIM

ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง  ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)

ล็อคเป้าลงทุน

PTTEP เป็นหุ้นที่มีโอกาสถูกกระทบจากนโยบายรัฐบาลน้อยสุดในกลุ่ม PTT และช่วงสั้นคาดได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน หนุนให้ 3Q66 กำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น QoQ

ADVANC 3Q66 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ และ YoY จากการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจ FBB ที่ลดลงต่อเนื่องและฐานผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น
 
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 31 ส.ค. 2566 เวลา : 09:48:03
29-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 29, 2024, 3:17 am