แบงก์-นอนแบงก์
กสิกรไทย เดินหน้าเต็มสูบ "สินเชื่อสีเขียว" ตั้งเป้าปีนี้ 1 แสนล้าน ปี 73 ทะลุ 2 แสนล้าน ชูยุทธศาสตร์ Climate พาธุรกิจเปลี่ยนผ่านคว้าโอกาส


ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าปี 67 ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 1 แสนล้าน ชูยุทธศาสตร์ Climate หนุนภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านคว้าโอกาส คาดปี 73 ทะลุ 2 แสนล้าน จากความต้องการสินเชื่อพุ่ง ธุรกิจใหญ่ดึงธุรกิจเอสเอ็มอีซัพพลายเชนเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน

 
 
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานด้านสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านอย่างครบวงจร ทั้งสินเชื่อด้านสิ่งแวดล้อม (Green Loan) และสินเชื่อเพื่อการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจในการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance) ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายในปี 2567 นี้ ที่ 100,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่มีเม็ดเงินปล่อยไปแล้วประมาณ 7.3 หมื่นล้านบาท โดยภายในปี 2573 คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนได้ถึง 200,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของพอร์ตสินเชื่อรวมทั้งหมดของธนาคาร ที่ปัจจุบันธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท

 
“ปัจจุบันความต้องการสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ตระหนักและให้ความสำคัญกับเรื่อง Green มาก เพราะเป็นหัวใจหลักของการค้าขายบนเวทีโลก ขณะที่ธนาคารต้องการขยายการให้สินเชื่อนี้ไปยังกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ด้วย ฉะนั้นคาดว่าเป้าที่ตั้งไว้ในปีนี้ 1 แสนล้านบาท และ 2 แสนล้านบาทในปี 2573 น่าจะเกินเป้าได้" นายพิพิธกล่าว

นายพิพิธกล่าวต่อไปว่า สำหรับเม็ดเงินในปีนี้ที่ยังเหลืออยู่ 2.7 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ถึงเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท ธนาคารจะเน้นปล่อยสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 80% หรือมียอดขายตั้งแต่ 1,000-5,000 ล้านบาท ส่วนอีก 20% จะปล่อยให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีพลังจะดึงกลุ่มลูกค้าของตนเองที่เป็นเอสเอ็มอีและอยู่ภายใต้ซัพพลายเชน ให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืนเช่นเดียวกัน 

 
“วันนี้เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้กลุ่มสีน้ำตาลไม่ลดลงช้าเกินไป และกลุ่มสีเขียวโตเพิ่มมากขึ้น วันนี้จึงเป็นจุด Turning Point ที่เราจะชนะในการเกมส์การแข่งขันนี้ ฉะนั้นบทบาทของธนาคารในวันนี้ ไม่ใช่แค่การปล่อยสินเชื่อแบบเดิมๆ แต่เป็นการปล่อยสินเชื่อและเงินลงทุนด้านความยั่งยืน (Sustainable Financing and Investment) พร้อมสนับสนุนสนับสนุนลูกค้าและภาคธุรกิจในการเปลี่ยนไปสู่สีเขียว ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและจัดเตรียมโซลูชันด้านสิ่งแวดล้อมในทุกมิติที่ภาคธุรกิจต้องการ (Climate Solutions) ทั้งด้านการให้คำปรึกษา การจัดทำ Carbon Accounting การทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับคาร์บอนเครดิตและระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง (Carbon Ecosystem) เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านพร้อมรับมือกับแรงกดดันด้านกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมของโลกและไทยที่เพิ่มขึ้น และตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น มุ่งสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน“นายพิพิธกล่าว

 
นายพิพิธกล่าวต่อไปว่า ในปี 2567 นี้ ธนาคารได้วางยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ด้วยเป้าหมายในการพาธุรกิจไทยก้าวสู่โลกธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อให้ธุรกิจไทยปรับตัวและรับมือยุค Climate Game ที่มูลค่าของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงผลกำไรจากธุรกิจดังเดิม แต่มีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมสามารถคว้าโอกาสในการค้าบนเวทีโลก เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

โดยธนาคารได้วางแผนกลยุทธ์เป็นรายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) รวม 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ และกลุ่มอลูมิเนียม โดยมีการวัดผลความคืบหน้า อาทิ พอร์ตอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า ที่ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนไปเป็นจำนวน 3,800 ล้านบาท ปัจจุบันธนาคารมีระดับความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Intensity per GWh) ในพอร์ตนี้ ลดลง 5%

 
นายพิพิธกล่าวย้อนถึงการประชุม COP 28 ที่ผ่านมา ว่า ประชาคมโลกบรรลุข้อตกลงที่จะเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะส่งแรงกดดันลงไปสู่ภาคธุรกิจในวงกว้าง และประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่อาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม (Transition Risk)  ด้วยกฎระเบียบทางการค้าที่ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน จะทยอยบังคับใช้เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินค้าส่งออกไทยราว 40-45% นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ….. ของไทยที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา กำหนดให้ภาคธุรกิจต้องวัดผลและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (MRV) มาตรการจำกัดสิทธิผู้ประกอบการเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Cap and Trade) มาตรการจัดเก็บภาษีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสินค้าภาคอุตสาหกรรม (Carbon Tax) รวมถึงการทำธุรกรรมเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะกระทบกับผู้ประกอบธุรกิจในวงกว้าง  
 
 
”จากการที่โลกธุรกิจกำลังเข้าสู่ยุค Climate Game ที่ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทำให้สมการธุรกิจเปลี่ยนไป มูลค่าของธุรกิจจากรายได้ธุรกิจแบบดั้งเดิม จะถูกลดทอนด้วยปัจจัยเชิงลบที่ธุรกิจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการทำธุรกิจที่ได้ปัจจัยบวกด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการจึงต้องตระหนักและปรับตัวให้ทันเพื่อรับมือกับเกมนี้ ธนาคารกสิกรไทยมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนภาคธุรกิจในการปรับตัวรับมือ ด้วยประสบการณ์ ผลิตภัณฑ์ และองค์ความรู้ที่มี จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคารกสิกรไทย ปี 2567“นายพิพิธกล่าว

 
นายพิพิธให้รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคารในปี 2567 ว่า ธนาคารจะดำเนินการผ่านกลยุทธ์หลัก ดังนี้ ด้วยการเริ่มลดก๊าซเรือนกระจกจากการทำงานของธนาคาร ผ่านกลยุทธ์ที่ 1 Green Operation โดยธนาคารจะปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานของตัวเอง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคาร (Scope 1-2) เป็น Net Zero ด้วยมาตรฐานสากล โดยธนาคารเริ่มมีการพัฒนาระบบข้อมูลก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา จึงได้สั่งสมประสบการณ์ตรงจากการลงมือทำจริง โดยมีผลการทำงานถึงปัจจุบัน ได้แก่ ธนาคารมีการติดตั้ง Solar Rooftop ที่อาคารหลักของธนาคาร 7 แห่ง ครบ 100% และติดตั้งที่สาขาด้วยแล้วซึ่งจะมีจำนวน 78 สาขา ภายในเดือน มิ.ย. 2567 นี้ มีการเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้ในธุรกิจธนาคารจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว 183 คัน

 
การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เกิดขึ้น ธนาคารสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ลดได้ 12.74% เมื่อเทียบปีฐาน (2563) มีการจัดการด้านคาร์บอนเครดิต โดยเป็นกลางทางคาร์บอนมาแล้ว 6 ปีต่อเนื่อง (2561-2566) และตั้งเป้าหมายเป็น Net Zero ใน Scope 1 & 2 ภายในปี 2573 
 
นอกจากนี้ ธนาคารจะช่วยลูกค้าด้วยการเงินสีเขียว ผ่านกลยุทธ์ที่ 2 Green Finance - โดยธนาคารจะนำความแข็งแกร่งด้านสินเชื่อและเงินลงทุน สนับสนุนภาคธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านอย่างครบวงจร ได้แก่ 1.การให้สินเชื่อด้านสิ่งแวดล้อม (Green Loan) และการให้สินเชื่อเพื่อปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจในการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance)  2.การจัดสรรเงินลงทุนของธนาคารในธุรกิจและสตาร์ตอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวก 3. การนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนทั้งของธนาคารและพันธมิตรระดับโลกเพื่อดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนไปสนับสนุนธุรกิจที่คำถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) โดยธนาคารส่งมอบเม็ดเงินสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนไปแล้ว 73,397 ล้านบาท (ปี 2565-2566) และคาดว่าจะมียอดรวมเป็น 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 นี้ และจะเป็น 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ตามเป้าหมาย
 
 
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เกิดขึ้น ภายใต้กลยุทธ์นี้ มีจุดชี้วัดหลัก (KPI) ประการหนึ่ง คือ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Emission) ของอุตสาหกรรมหลักที่ธนาคารให้ความสำคัญในการควบคุมและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้วางแผนกลยุทธ์รายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) ไปแล้ว 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ และกลุ่มอลูมิเนียม โดยพบว่ามีความคืบหน้าที่วัดผลได้ อาทิ พอร์ตโฟลิโออุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า ซึ่งธนาคารสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว จำนวน 3,800 ล้านบาท ปัจจุบันธนาคารมีระดับความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Intensity per GWh) ในพอร์ตนี้ลดลง 5% ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีฐาน (2563) ซึ่งสอดคล้องกับแผนที่วางไว้
 
นายพิพิธกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการบูรณาการศักยภาพ ส่งมอบโซลูชันที่มากกว่าแบงก์กิ้ง นั้น ในภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธนาคาร ส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพอร์ตโฟลิโอของธนาคาร ซึ่งคิดเป็น 480 เท่า ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินการโดยตรงของธนาคาร (Own Operation - Scope 1 & 2) ดังนั้น ธนาคารจึงปรับกลยุทธ์และเร่งสร้างเครื่องมือสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ประกอบการ สอดคล้องกับภาครัฐที่เห็นความจำเป็นและมีส่วนช่วยผลักดันการขับเคลื่อนภาคธุรกิจในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ธุรกิจที่ต้องปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมได้สะท้อนความต้องการรับการสนับสนุนจากธนาคารในมิติที่มากกว่าการเงิน ทั้งเรื่องความรู้ด้าน ESG เพื่อธุรกิจ บริการให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค และการจับคู่ธุรกิจกลุ่ม ESG ธนาคารกสิกรไทยจึงมีการบูรณาการศักยภาพทั้งโซลูชัน องค์ความรู้ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับการทำงานทั้งของธนาคารเองและการทำงานของลูกค้า ผ่านกลยุทธ์การทำงานเพื่อการส่งมอบบริการที่มากกว่าการเงิน ดังนี้ 
 
 
กลยุทธ์ที่ 3 Climate Solutions - โซลูชันด้านสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจรโดยอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตร ประกอบด้วย โซลูชันการส่งมอบความรู้และคำแนะนำ (Knowledge Provider) ที่บูรณาการองค์ความรู้จากสถาบันชั้นนำ การพัฒนาโซลูชันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับลูกค้าทั้งบุคคลและผู้ประกอบการ (Reduction Solution) โดยทดลองออกบริการนำร่องแล้ว ได้แก่ WATT’S UP เป็นแพลต์ฟอร์มรองรับการเช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร รวมถึงบริการสลับแบตเตอรี่ผ่านจุดบริการ  ปัจจุบัน มีผู้ใช้งาน 367 ราย โดยในปี 2567 คาดว่าจะมีรุ่นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้บริการมากกว่า 10 รุ่น ขยายตู้สลับแบตเตอรี่เป็นกว่า 70 สาขา ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล  และ“ปันไฟ" (Punfai) เป็นแอปพลิเคชันที่เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พัฒนาแอปพลิเคชันแลกเปลี่ยนไฟฟ้าแห่งแรกของไทยที่ตอบโจทย์การใช้งานครบทุกมิติ รองรับการใช้งานทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ

 
นอกจากนี้ ธนาคารนำประสบการณ์กว่า 10 ปี ในการวัด Carbon Footprint ของธนาคาร มาใช้เพื่อเตรียมพัฒนาโซลูชันใหม่ที่จะช่วยผู้ประกอบการเรื่องการวัดผล รายงาน และตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon MRV) ให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล  

กลยุทธ์ที่ 4 Carbon Ecosystem - ธนาคารเตรียมความพร้อมในการเชื่อมต่อใน Carbon Ecosystem เพื่อการพัฒนาบริการไปอีกขั้น ในธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคาร์บอนเครดิต โดยศึกษาและดำเนินการซื้อคาร์บอนเครดิตสำหรับการชดเชยทางคาร์บอนของธนาคารและบริษัทในกลุ่มฯ เพื่อสนับสนุนคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพ และมีความมุ่งหวังที่จะเป็นตัวอย่างและร่วมผลักดันให้ตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยเติบโตและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ ธนาคารได้มีการเปิดตัวแพลตฟอร์มขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ที่เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทย และ Innopower เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนรายย่อยและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ขึ้นทะเบียนและขายใบรับรอง REC ได้ รวมถึงธนาคารได้ศึกษาและเตรียมแนวทางในมิติอื่น ๆ ของระบบนิเวศด้านคาร์บอนเครดิต เช่น การเป็นตัวแทนซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Broker / Dealer) การออกโทเคนคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Tokenization)

 
นายพิพิธกล่าวตอนท้ายว่า ส่วนการเชื่อมต่อภาคส่วน จับมือทุกคนทำไปด้วยกัน นั้น การทำงานด้าน Climate Change ในระดับประเทศให้บรรลุผลได้ ต้องอาศัยพลังจากทุกคนร่วมมือทำสิ่งนี้ไปด้วยกัน จึงจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง และธนาคารกสิกรไทยพร้อมที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อของภาคธุรกิจ ลูกค้า ผู้กำกับดูแล ผู้กำหนดนโยบาย องค์กรแหล่งความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรม ตลอดจนภาคการเงินและตลาดทุน บูรณาการศักยภาพ ต่าง ๆ เพื่อส่งมอบเครื่องมือ ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้นในเศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน

LastUpdate 19/03/2567 18:58:21 โดย : Admin
01-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 1, 2024, 9:35 am