กองทุนรวม
"ทิสโก้" นำทัพกูรูจัดสัมมนาใหญ่ เจาะกลยุทธ์สร้างกำไรครึ่งปีหลัง ฟันธง "ญี่ปุ่น - จีน - เยอรมัน" พระเอกครึ่งปีหลัง รับแรงหนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ย


ทิสโก้ เวลธ์ จัดสัมมนาใหญ่ TISCO Wealth Investment Forum "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง" นำทัพกูรูร่วมฟันธงกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง แนะการลงทุน Top Pick  ชูตลาดหุ้น “ญี่ปุ่น-จีน-เยอรมัน” เด่นสุด รับอานิสงส์เฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่วน “อสังหาฯ ญี่ปุ่น” ยังมาแรงต่อเนื่อง พร้อมแนะนำกองทุน-ETF ครึ่งปีหลัง ตอกย้ำผู้นำการลงทุนต่างประเทศด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั่วโลก

 

 

นางอรนุช  อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง" ว่า ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด ด้วยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน ในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าสถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไร เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศที่ครอบคลุมทั่วโลก (Global Wealth Advisory) และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและนักลงทุนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในช่วงเสวนา "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง"  นายคมศร ประกอบผล  หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้  กล่าวว่า  จากกลยุทธ์การลงทุนที่ทิสโก้เคยแนะนำไปปลายปีที่ผ่านมา ว่ามุมมองการลงทุนปี 58 จะถูกกำหนดด้วย 3 ธีม หลักคือ ดอลลาร์แข็ง น้ำมันถูก และ ยิลด์ต่ำ  พร้อมแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมันและญี่ปุ่นที่ได้ประโยชน์จากดอลลาร์แข็ง, ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกหลักในอาเซียน เช่น จีน เกาหลี ใต้หวัน และแนะนำให้ขายหุ้นไทย สหรัฐฯ เนื่องจากมีราคาแพง และขายหุ้นละตินอเมริกา เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ  ซึ่งจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ทั้งสิ้น โดยปัจจุบันดอลลาร์แข็ง 14% น้ำมันลง 40% (จาก 80 เหลือ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) และ Yield พันธบัตร 10  ปี ของสหรัฐฯ ลดลง 35bps  

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญของการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังคือ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)  ที่น่าจะเห็นภายในเดือน ก.ย. 58  ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อสินทรัพย์เกือบทุกประเภททั่วโลก โดยตลาดจะผันผวนมากขึ้นในไตรมาส 2-3 ขณะที่สภาพคล่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และต้องหาสินทรัพย์เพื่อลงทุนต่อไป โดยมองว่าตลาดหุ้นจะมีอัพไซด์ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ และจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จึงแนะนำให้ใช้ความผันผวนของตลาดเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น

 
แนะจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง Overweight “ญี่ปุ่น-เยอรมัน-จีน” พุ่งรับเฟดขึ้นดอกเบี้ย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้แนะนำให้ Overweight ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมัน และจีน โดยมองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเยอรมัน จะได้ผลบวกจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีกำไรเติบโตสูงตามเศรษฐกิจ และการเพิ่มการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงแรงซื้อจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และกองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่น (GPIF) ขณะที่ตลาดหุ้นเยอรมัน กำไรเติบโตสูงตามเศรษฐกิจเช่นกัน โดยเศรษฐกิจเยอรมันมีเสถียรภาพสูง อัตราการว่างงานต่ำ ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก มี Valuation ถูกที่สุดในยุโรป (P/E อยู่ที่ 15 เท่า เทียบกับ 16 เท่า สำหรับ STOXX600)  ส่วนตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจเนื่องจาก Valuation ถูก มี P/E เพียง 8 เท่า และความคืบหน้าของนโยบายปฏิรูปช่วยลดความเสี่ยงในเศรษฐกิจจีน รวมถึงแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน (PBoC)

สอดคล้องกับ ผศ. ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กล่าวว่า  การขึ้นดอกเบี้ยของ FED มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วง ก.ย.- ต.ค. นี้ ส่วนการทำ QE ของยุโรปมองว่า น่าจะต้องมีอีกหนึ่งรอบใหญ่ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นต้องดูตัวเลขเศรษฐกิจยุโรปและท่าทีการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ก่อน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลดีต่อยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ก็จะได้ผลดีจากการกระตุ้นและความชัดเจนดังกล่าวด้วย โดยมองว่าตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในครึ่งปีหลัง คือ ตลาดหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน เช่นกัน
 
 “ตลาดหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน น่าสนใจที่สุดในครึ่งปีหลัง เยอรมันนั้นได้ประโยชน์จากการที่ยุโรปทำ QE ซึ่งต้องการเงินอัดฉีดอีกราว 3 ล้านล้านดอลล่าร์ในตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นเยอรมันได้เปรียบจากขนาดที่ใหญ่ รวมถึง Valuation ที่น่าสนใจกว่า ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับฐานขึ้นมาจาก17,000 สู่ 19,000 จุด ด้วยความชัดเจนในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอาเบะโนมิกส์ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจึงยังคงน่าจะดีต่อเนื่องในปีนี้ ส่วนจีน ปีนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนชัดเจนกว่าเดิมมาก ทำให้ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจ เพราะมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีนได้เร็ว จากความน่าเชื่อถือที่สูงของทางการจีนในสายตาตลาด” ผศ. ดร. บุญธรรม กล่าว

 
อสังหาฯ ญี่ปุ่น (J-REITs) อีกทางเลือกลงทุนครึ่งปีหลัง

ทางด้าน นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา หัวหน้าฝ่ายจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ. ทิสโก้  กล่าวว่า การลงทุนต่างประเทศที่น่าสนใจในครึ่งปีหลัง คือประเทศญี่ปุ่นและจีน โดยญี่ปุ่นมีความน่าสนใจทั้งตลาดหุ้น รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ (J-REITs) โดยตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทนในระดับต้นๆ ของโลก ภายหลังภาครัฐเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงภายในประเทศต่อเนื่อง โดย BoJ มีเป้าหมายเข้าซื้อ ETFs และ J-REITs ด้วยวงเงินรวมต่อปี ราว 3 ล้านล้านเยน และ 9 หมื่นล้านเยน ตามลำดับ นอกจากนี้ GPIF ยังมี นโยบายเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจาก 12% เป็น 25% ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายการคลังควบคู่ไปกับการทำ QE โดยในไตรมาสที่ 1/58 ได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณ เพิ่มอีกเป็นจำนวนเงิน 3.5 ล้านล้านเยน ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าแล้ว ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

“เรามองว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น (J-REITs) น่าสนใจและมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่น นอกจากนี้ การเพิ่มปริมาณการซื้อ J-REITs เป็น 9 หมื่นล้านเยน ต่อปี จาก 3 หมื่นล้านเยน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ของ BoJ ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุนใน J-REITs ในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 58 BoJ ได้เข้าซื้อ J-REIT เป็นจำนวน 1.7 หมื่นล้านเยน โดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ BoJ มีการถือครอง J-REITs เป็นมูลค่ากว่า 1.94 แสนล้านเยน      

นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาคารสำนักงานในโตเกียวมีสัญญาณที่ดีขึ้นชัดเจน โดยค่าเช่าอาคารปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยเพิ่มขึ้นกว่า 5% ในเดือน ธ.ค. 57 ในขณะที่อัตราว่าง (Vacancy Rate) ลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราเงินปันผลของ J-REITs ที่อยู่ในระดับสูงที่ราว 3% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (JGBs) ที่ราว 0.3%   ส่งผลให้ J-REITs มีความน่าสนใจต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้” นายสุพงศ์วร กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นจีน คาดว่าความคืบหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจและนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นจีนในปีนี้ โดยความคืบหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น การเปิดเสรีทางการเงินการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินทุนผ่านกลไกตลาด และกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนเพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคการลงทุน จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้เศรษฐกิจจีน โดยตลาดหุ้นจีนปัจจุบันเทรดอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยมี P/E เพียง 8 เท่า และมีโอกาสถูก Re-rate ไปซื้อขายในระดับ P/E ที่สูงขึ้น หลังเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการ Shanghai – Hong Kong Stock Connect จะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity) ของตลาดหุ้นจีนในอีกทางหนึ่งด้วย

 
แนะ Underweight “สหรัฐฯ ไทย และละตินอเมริกา”

ทั้งนี้ นายคมศร กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นที่แนะนำให้ Underweight ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไทย และละตินอเมริกา โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำไรถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์แข็ง และบริษัทน้ำมันซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาด, Valuation แพง (P/E = 17เท่า) ส่วนตลาดหุ้นไทยมี Valuation แพงกว่าภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับยังมีความเสี่ยงจากประเด็นการเมือง และเงินทุนไหลออกเมื่อ FED  ขึ้นดอกเบี้ย  และตลาดหุ้นละตินอเมริกาถูกกดดันเนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ราคาตกต่ำ, ค่าเงินผันผวนจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED  และความเสี่ยงทางการเมืองในบราซิล

 
เตรียมออกกอง FIF – เทรดหุ้นต่างประเทศต่อเนื่อง รับดีมานด์นักลงทุน

ด้าน นายสาห์รัช  ชัฏสุวรรณ  ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า จากมุมมองการลงทุนดังกล่าว กองทุนที่ บลจ. ทิสโก้ แนะนำในครึ่งปีหลังได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้, กองทุนเปิด ทิสโก้  ไชน่า H-Share อิควิตี้ และกองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้  ที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และเยอรมัน และกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน รีท  ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน นอกจากนี้ในช่วงที่เหลือของปี  บลจ. ทิสโก้ ยังคงเดินหน้าจับจังหวะการลงทุนด้วยการออกกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยอาศัยความชำนาญและความเฉียบคมในการจับจังหวะลงทุน ซึ่งทิสโก้ถือเป็นผู้นำในการออกผลิตภัณฑ์นี้ พร้อมมีผลงานการบริหารกองทุนที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ นายวิวัฒน์  เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ กล่าวว่า จากมุมมองดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศในครึ่งปีหลัง บล. ทิสโก้ แนะนำให้ลงทุนใน ETF ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และเยอรมัน เช่นกัน ได้แก่ 1. Nomura NIKKEI 225 ของญี่ปุ่น 2. Hang Seng H-Share ETF & ETF Tracker Fund of Hong Kong ของจีนในตลาดฮ่องกง และ 3. iShares MSCI Germany ของเยอรมัน

ทั้งนี้ หลังจากที่ บล. ทิสโก้ เปิดบริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ (TISCO Global Trade) และออกบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นต่างประเทศ และแนะนำกองทุนอีทีเอฟชั้นนำทั่วโลกเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุน ปัจจุบันบริการดังกล่าวได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก ซึ่งตอกย้ำถึงจุดยืนของทิสโก้ในการเป็นผู้นำด้านบริการที่ปรึกษาและมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมการลงทุนทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

 







 


LastUpdate 03/04/2558 15:12:52 โดย : Admin
05-01-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดวันนี้ (3 ม.ค.68) บวก 4.91 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,384.76 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ม.ค.67) บวก 4.07 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,383.92 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,645 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,680 เหรียญ

4. ตลาดหุ้นไทยเปิด (3 ม.ค.68) บวก 3.06 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,383.28 จุด

5. มวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีน จะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนวันนี้ ส่งผลทั่วไทยอุณหภูมิลดลง 1-2 องศา "ยอดดอย" หนาวจัด 4 องศา

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (2 ม.ค.68) ร่วง 151.95 จุด ตลาดถูกกดดันจากข้อมูลแรงงานแกร่ง คาดเฟดคงดอกเบี้ย

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (2 ม.ค.68) บวก 28 เหรียญ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.30-34.50 บาท/ดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (3 ม.ค. 68) พุ่งขึ้น 500 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 43,750 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (3 ม.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 34.39 บาทต่อดอลลาร์

11. พรุ่งนี้ (3 ม.ค.68) น้ำมันเบนซิน - แก๊สโซฮอล์ ลด 30 สต./ลิตร

12. ตลาดหุ้นไทยปิดวันแรกของปี (2 ม.ค.68) ร่วง 20.36 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,379.85 จุด

13. ประกาศ กปน.: 6 ม.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนสุวินทวงศ์

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (2 ม.ค.68) ลบ 18.96 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,381.25 จุด

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (2 ม.ค.68) ปรับลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 43,100 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ January 5, 2025, 9:58 am