กองทุนรวม
'Janus' ยังเชื่อหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์มีโอกาสทำกำไร แนะทยอยลงทุนช่วงเศรษฐกิจโลกผันผวน


Janus Henderson บริษัทจัดการการลงทุนระดับโลก เผยในงานสัมมนา “Healthcare Sector Snapshot: Trends & Opportunities” จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด ชี้หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์มีโอกาสทำกำไรระยะยาวจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ นวัตกรรมการผลิตยารักษาโรค สังคมผู้สูงอายุ และกระแสโลกาภิวัตน์

 

 

 

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด จัดงานสัมมนาเรื่องหุ้นเฮลท์แคร์ “Healthcare Sector Snapshot: Trends & Opportunities” ร่วมกับ Mr.Adam Johnson, Director, Senior Product Specialist จาก Janus Henderson Investors ผู้บริหารกองทุนหลักที่กองทุน T-HealthCare ของ บลจ.ธนชาต ลงทุน เพื่ออัพเดตมุมมองและโอกาสการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เพราะเชื่อว่าในภาวะปัจจุบันน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทยอยลงทุนในหุ้นเฮลท์แคร์ที่ถือเป็นเมกะเทรนด์ของโลกในระยะนี้

ในช่วงการสัมมนา ทาง Janus ให้มุมมองว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ยังคงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในระยะยาวจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่

1.  นวัตกรรมยารักษาโรคที่ถูกคิดค้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้รักษาโรคที่เคยรักษาไม่หายได้ และมีแนวโน้มที่ยาจะได้รับสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นมาก

2.  แนวโน้มลักษณะประชากรโลกที่เปลี่ยนไป หลายประเทศทั่วโลกเริ่มเข้าใกล้สังคมผู้สูงอายุซึ่งมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น และมีสถิติที่น่าสนใจ คือ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อหัวสูงกว่าคนที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี ทำให้เชื่อได้ว่าเมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนเป็นสังคมผู้สูงอายุจะทำให้ค่าใช้จ่ายสุขภาพมีการเติบโตที่สูงมาก นอกจากนั้นยังพบว่าพฤติกรรมของประชากรที่มีแนวโน้มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ยิ่งตอกย้ำว่าในอนาคต ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีการเติบโตที่สูงมาก

3.  กระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้แต่ละประเทศทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกันซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในแต่ละประเทศขยายตัวอย่างทัดเทียมกันซึ่งผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าหาก GDP แต่ละประเทศขยายตัวมากขึ้น จะทำให้การใช้จ่ายด้านสุขภาพเติบโตตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมาพบว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเชื่อมโยงกับการเติบโตของ GDP ในแต่ละประเทศ ยิ่งประเทศที่มี GDP สูง ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพก็จะสูงตามไปด้วย 

ผู้จัดการกองทุนต่างประเทศจาก Janus ให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า แม้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์จะผันผวนมาก ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มไม่มั่นใจ แต่อันที่จริงความผันผวนดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านการเมือง ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจ 

ปลายปี 2015 หุ้นเฮลท์แคร์เริ่มเกิดความผันผวน เนื่องจากตลาดคาดว่านางฮิลลารี คลินตัน จะชนะการเลือกตั้งปี 2016 และจะส่งผลกระทบต่อบริษัทยา เพราะนางฮิลลารีวิจารณ์ว่าราคายาขณะนั้นสูงเกินไป ตลาดจึงกังวลว่าราคายาอาจถูกกดดันและกระทบต่อธุรกิจ แต่แม้ว่านางฮิลลารีจะไม่ชนะการเลือกตั้ง ราคาหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ก็ยังไม่ปรับตัวดีขึ้นมากนัก ประกอบกับต่อมาเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ตลาดก็ยังมีความกังวลต่อ เพราะไม่มั่นใจในนโยบายด้านสุขภาพของทรัมป์ที่ยังคงไม่มีความแน่นอน จนกระทั่งปลายปี 2016 ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า แม้จะคุมราคายาแต่จะเน้นเพิ่มการแข่งขันให้มากขึ้นซึ่งสิ่งที่ทรัมป์กล่าวได้สะท้อนออกมาในปี 2017 ที่มีการต่อสิทธิบัตรยาที่เคยได้รับการอนุมัติแล้วเพิ่มขึ้นมากทำให้ราคายาในตลาดลดลงอย่างมีนัยยะ 

ผู้จัดการกองทุนของ Janus ให้ความเห็นอีกด้วยว่า เมื่อประเด็นนโยบายการเมืองเริ่มคลี่คลายและกฏหมายไม่เปลี่ยนแปลงมากจนทำให้ตลาดกังวล ประกอบกับมีการส่งเสริมการออกสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นจึงยิ่งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มบริษัทที่มีนวัตกรรมการค้นคว้าใหม่ๆ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นที่ราคาหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ที่มีการปรับตัวดีขึ้นมากช่วงปลายปี 2016

ด้าน ผู้จัดการกองทุนของ บลจ.ธนชาต ร่วมให้ความเห็นว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ต่างมีความผันผวนมากขึ้น คาดว่ามาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัวลง ความกังวลต่อสงครามการค้า และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เพราะแม้ระยะนี้อาจต้องเผชิญกับความผันผวนดังกล่าว แต่อัตราผลตอบแทนจากหุ้นโดยรวมน่าจะยังเป็นบวกได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าการลงทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์สามารถตอบโจทย์การลงทุนในภาวะนี้ได้ดี โดย ผู้จัดการกองทุนของ Janus กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นต่ำกว่าตลาดโดยรวมหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ประกอบกับกองทุนนี้ผู้จัดการกองทุนจะเน้นคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจ ที่มีโอกาสและศักยภาพสูง และปรับพอร์ตอยู่อย่างต่อเนื่อง

ผู้จัดการกองทุน Janus ยังกล่าวย้ำว่า มีความเชื่อมั่นในการลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ โดยเล่าว่า ทีมงานของตนเองนำเงินส่วนตัวมาลงทุนและไม่เคยไถ่ถอนออกเลยจนถึงปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และเศรษฐกิจโลกจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับหุ้นกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มสร้างผลประกอบการที่ดี มีปัจจัยเสริมที่ดีหลายอย่าง

กองทุน T-Healthcare ของ บลจ.ธนชาต ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ระดับราคาปัจจุบันปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดมากกว่า 20% และผลตอบแทนกองทุนหลัก Janus Global Life Science Fund ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี นับแต่จัดตั้งเมื่อมีนาคมปี 2000 และยังเหนือกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งกองทุนนี้มีจุดเด่นคือ นักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง แยกตามรายอุตสาหกรรมย่อย ซึ่งทีมผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งทีมผู้จัดการกองทุนให้ความสนใจ เพราะมีเรื่องราวนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเป็นแรงกระตุ้นการเติบโตได้สม่ำเสมอ และที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง อีกทั้งในช่วงต้นปีนี้ ผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ในสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาล่าสุด ก็พบว่าผลกำไรต่อหุ้นดีกว่าที่ตลาดคาดเกือบทุกบริษัท อีกทั้งเหนือกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ และตลาดโดยรวม สะท้อนให้เห็นความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ และเหมาะจะทยอยสะสมในระยะนี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมขอรับหนังสือชี้ชวนได้ในวันและเวลาทำการเสนอขายที่ บลจ.ธนชาต โทรศัพท์ 0-2126-8399 กด 0 หรือ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชนโทร.1770 หรือผู้สนับสนุนการขาย หรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ บลจ.ธนชาต แต่งตั้ง www.thanachartfund.com 

คำเตือน

•          การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

•          ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต

•          กองทุนอาจป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

•          หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ถือหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่โฆษณาไว้


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 พ.ค. 2561 เวลา : 17:20:16
27-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (26 เม.ย.67) ลบ 4.33 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,359.94 จุด

2. ประกาศ กปน.: 2 พ.ค. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนวิภาวดีรังสิต

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 เม.ย.67) ลบ 2.25 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.02 จุด

4. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,310 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,350 เหรียญ

5. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.90-37.15 บาท/ดอลลาร์

7. ทองปิดบวก $4.10 รับดอลล์อ่อน-แรงซื้อลดความเสี่ยง

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 เม.ย.67) บวก 0.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.95 จุด

9. ดาวโจนส์ปิดร่วง 375.12 จุดหลัง GDP สหรัฐชะลอตัว - เงินเฟ้อพุ่ง

10. ทองพุ่ง! ราคาทองวันนี้ 26/4/67 ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 100 บาท ทองคำแท่งขายออกบาทละ 40,850 บาท

11. ทั่วไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส ฟ้าหลัว ฝนฟ้าคะนองบางแห่ง และลมกระโชกแรงตลอดช่วง

12. ตลาดหุ้นปิด (25 เม.ย.67) บวก 3.17 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.27 จุด

13. ประกาศ กปน.: 29 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบ้านบางไผ่-บ้านหนองเพรางาย

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 เม.ย.67) บวก 1.72 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.82 จุด

15. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบเช่นเดิมระหว่าง 2,290-2,330 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 27, 2024, 1:49 am