กองทุนรวม
ทิสโก้ เวลธ์เปิดมุมมองการลงทุนชู"โกลบอล เฮลธ์แคร์"ฝ่าวัฏจักรเศรษฐกิจขาลง


ทิสโก้ เวลธ์ จัดงานสัมมนาTISCO Wealth Investment Forumครั้งที่15ในหัวข้อ“เจาะลึก Mega Trend เปลี่ยนโลก:เฮลธ์แคร์โอกาสสร้างกำไรต้านแรงผันผวน”เปิดหุ้นกลุ่ม Global Health Care หลุมหลบภัยช่วงปลายวัฎจักรเศรษฐกิจชี้กำไรไม่ผันผวนแถมเติบโตได้ดีในระยะยาว บลจ.ทิสโก้ชู5กองทุนเด่นเกาะกระแส ช่วยนักลงทุนสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี

 


 
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยในงานสัมมนาTISCO Wealth Investment Forum หัวข้อ“เจาะลึก Mega Trend เปลี่ยนโลก:เฮลธ์แคร์โอกาสสร้างกำไรต้านแรงผันผวน”ว่าตั้งแต่ปลายปี2561ต่อเนื่องถึงปี2562เศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลกขยายตัวในอัตราที่ลดลงอย่างชัดเจน โดยเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิต ตัวเลขส่งออกที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนว่าวัฏจักรเศรษฐกิจโลกเคลื่อนเข้าสู่ช่วงปลายของการขยายตัวแล้ว ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมไปถึงการเจรจา Brexit และการเลือกตั้งในหลายประเทศ ดังนั้นการลงทุนในปีนี้จึงไม่ใช่งานง่ายและมีความท้าทายเป็นอย่างมาก

“การเติบโตของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยในไตรมาส1/2562 คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ที่1.9%จากผลกระทบของGovernment Shutdown ขณะที่เศรษฐกิจยุโรป จีน ญี่ปุ่นและตลาดเกิดใหม่ก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ด้านสถานการณ์เศรษฐกิจก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง ในส่วนของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากภาคต่างประเทศ โดยส่งออกยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้า การท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอลงจากนักท่องเที่ยวจีน ส่วนอุปสงค์ในประเทศที่เดิมคาดว่าจะมาชดเชยภาคต่างประเทศได้นั้น อาจไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างแข็งแกร่ง จึงเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% ตลอดทั้งปีนี้”นายคมศร กล่าว

หากพิจารณาในด้านการลงทุนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยได้รับแรงหนุนจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ การส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน โดยเรามองว่าจากนี้ตลาดหุ้นโลกมี Upside ค่อนข้างจำกัด เพราะตลาดได้ซึมซับข่าวด้านบวกไปมากแล้ว ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจค่อนข้างน่าผิดหวัง จึงมีความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานลงมาอีกครั้ง อย่างไรก็ดีตามปกติกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งในยามที่เศรษฐกิจเป็นขาลง ผลกำไรของตลาดหุ้นก็จะหดตัวตามไปด้วย ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงปลายวัฏจักรจึงควรเน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลกำไรไม่ผันผวนไปตามเศรษฐกิจโลกมากนัก และยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว เช่น ในกลุ่ม Global Health Care ซึ่งได้ประโยชน์จาก Megatrend ของสังคมผู้สูงอายุทำให้กลุ่มนี้มีกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเศรษฐกิจหดตัว

ยกตัวอย่างกลุ่ม Health Careในสหรัฐฯจากข้อมูลย้อนหลังในช่วงเศรษฐกิจถดถอย3ครั้งล่าสุดในปี 2533, 2544 และ 2551 ในช่วงเวลาเดียวกัน กำไรของบริษัทของกลุ่ม Health Care สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 9%, 9% และ 4% ตามลำดับ ขณะที่กำไรของตลาดหุ้นโดยรวม (ดัชนี S&P50) ลดลงถึง 28%, 22% และ 36% ตามลำดับ นอกจากนั้นอัตราการขยายตัวในระยะยาวยังดีกว่าตลาดโดยรวม โดยหากนับจากปี 2533 ถึง 2561 หุ้นในกลุ่ม Health Care ของสหรัฐฯ มีกำไรเติบโต 1,356% สูงกว่าตลาดโดยรวมถึงกว่า1เท่าตัว(กำไรของดัชนี S&P500 โต 520%ในช่วงเดียวกัน)

นอกจากนั้นหากพิจารณาในแง่ของราคาหุ้นกลุ่ม Health Careในสหรัฐฯปัจจุบันเทรดที่ Forward P/E 15.3 เท่า ต่ำกว่าดัชนีรวมS&P500 ซึ่งเทรดที่ 15.6 เท่า เป็นราคาที่มี Discount จากตลาด ในขณะที่ค่าเฉลี่ยระยะยาว หุ้นกลุ่ม Health Care เทรดที่ P/E Premium จากตลาดราว10%นับว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก

“ในยามที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปลายวัฏจักร และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเริ่มทยอยมากขึ้น การตั้งเป้าหมายการลงทุนอาจต้องเปลี่ยนไป จากเดิมที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนสูงสุดในยามที่เศรษฐกิจเป็นขาขึ้น เป็นการเน้นการบริหารความเสี่ยงและรักษาเงินต้นในยามที่เศรษฐกิจโลกดูเปราะบางขึ้น โดยในกลุ่ม Global Health Care น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับภาวะการลงทุนในปัจจุบัน” นายคมศร กล่าว

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่าการลงทุนในเมกะเทรนด์มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เห็นได้จากราคาหุ้นของ Amazon และ Apple ซึ่งเป็นหุ้นที่อยู่ในเมกะเทรนด์เทคโนโลยี ได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 2,000% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น หากนักลงทุนสามารถประเมินอนาคตได้ถูกต้อง มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานพอ พร้อมทั้งมีความเข้าใจต่อความผันผวนในระยะสั้น ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้

“ปัจจุบันหุ้นกลุ่ม“เฮลธ์แคร์”และกลุ่ม“เทคโนโลยี”ถือเป็นเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุนที่สุดในช่วงนี้ เพราะด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าทำให้มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวขึ้นประกอบกับสังคมผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก ยิ่งผลักดันให้ความต้องการดูแลรักษาสุขภาพและการแพทย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็พัฒนาขึ้นมากจนสามารถเข้าไปแทรกซึมอยู่ในอุตสาหกรรม รวมถึงชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกเพศทุกวัยและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” นายสาห์รัชกล่าว

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการได้รับโอกาสการลงทุนที่ดีจากการลงทุนในเมกะเทรนด์ดังกล่าว บลจ.ทิสโก้มีกองทุนเด่นที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์3กองทุน คือ1. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุน CS (Lux) Global Digital Health Equity ชนิดหน่วยลงทุน IB USD (กองทุนหลัก) เน้นลงทุนในบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลก

2. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เฮลธ์แคร์ สตาร์ พลัส (TGHSTARP) ความเสี่ยงระดับ7(เสี่ยงสูง)ลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่มีศักยภาพสูงทั่วโลกผ่านกองทุนรวมเฮลท์แคร์ต่างประเทศทั้งประเภทกองทุนที่มีนโยบายเชิงรุก (Active) และ อีทีเอฟ โดยมีจุดเด่นคือผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนเฮลท์แคร์ต่างๆ ที่มีผลงานบริหารกองทุนที่โดดเด่นและมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับแนวทางของทางผู้จัดการกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ 3. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เทคโนโลยี อิควิตี้ (TISTECH) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) มุ่งลงทุนเฉพาะเจาะจงในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology) กระจายการลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศและ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ

ต่างประเทศอย่างน้อย2กองทุน อย่างไรก็ตามกองทุนTGHDIGI, TGHSTARP และTISTECH ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก

ในมุมของกลุ่มประเทศที่น่าสนใจในช่วงนี้บลจ.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นจีนและไทยสามารถเข้าลงทุนได้ โดยปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ผลจากการเจรจาด้านการค้ากับสหรัฐฯ เริ่มมีความคืบหน้า ประกอบกับหุ้นจีนถูกนำเข้ามาคำนวณรวมในดัชนี MSCI และทางการจีนประกาศใช้นโยบายผ่อนคลายและกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง จึงยังมีโอกาสไปได้ต่อ ขณะที่ประเทศไทยมีปัจจัยบวกเรื่องการเลือกตั้งในประเทศรออยู่ ซึ่งหลังจากนี้อาจได้เห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้ออีกครั้ง แต่ยังต้องติดตามเรื่องผลการเลือกตั้งว่ารัฐบาลจะมีการรวมพรรคการเมืองใดบ้าง รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่อาจเติบโตแบบชะลอตัว ดังนั้น การลงทุนในหุ้นไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามสถานการณ์

สำหรับกองทุนเด่นในส่วนนี้ บลจ.ทิสโก้มี 2 กองทุนด้วยกันคือ1.กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า สตาร์ พลัส (TCHSTARP) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) มีนโยบายลงทุนในประเทศจีนผ่านกองทุนรวมต่างๆ รวมทั้งอีทีเอฟ โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกและกระจายการลงทุนไปยังกองทุนรวมที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และ 2 กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ (TSF) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง)เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีประมาณ15-20 บริษัท โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดี และจะปรับเปลี่ยนหุ้นอย่างสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละขณะ

ทั้งนี้กองทุนTGHDIGI, TGHSTARP, TISTECH และTCHSTARPอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในต่างประเทศจึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวม ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนและสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวน บลจ.ทิสโก้หรือธนาคารทิสโก้ทุกสาขาหรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 07 มี.ค. 2562 เวลา : 14:27:27
26-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 เม.ย.67) ลบ 2.25 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.02 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,310 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,350 เหรียญ

3. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.90-37.15 บาท/ดอลลาร์

5. ทองปิดบวก $4.10 รับดอลล์อ่อน-แรงซื้อลดความเสี่ยง

6. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 เม.ย.67) บวก 0.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.95 จุด

7. ดาวโจนส์ปิดร่วง 375.12 จุดหลัง GDP สหรัฐชะลอตัว - เงินเฟ้อพุ่ง

8. ทองพุ่ง! ราคาทองวันนี้ 26/4/67 ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 100 บาท ทองคำแท่งขายออกบาทละ 40,850 บาท

9. ทั่วไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส ฟ้าหลัว ฝนฟ้าคะนองบางแห่ง และลมกระโชกแรงตลอดช่วง

10. ตลาดหุ้นปิด (25 เม.ย.67) บวก 3.17 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.27 จุด

11. ประกาศ กปน.: 29 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบ้านบางไผ่-บ้านหนองเพรางาย

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 เม.ย.67) บวก 1.72 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.82 จุด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบเช่นเดิมระหว่าง 2,290-2,330 เหรียญ

14. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ลบ 42.77 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด บดบังผลประกอบการ บจ.แกร่ง

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ร่วง 3.70 เหรียญ นักลงทุนคลายกังวลความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 2:52 pm