เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
"พาณิชย์"เร่งดันเอฟทีเอสร้างแต้มต่อมันสำปะหลังไทยครองแชมป์โลกอย่างยั่งยืน


กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เผยแม้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวแต่ไทยยังครองแชมป์ผู้นำการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังสูงสุดในโลก นำหน้าประเทศอื่นหลายเท่าตัว ชี้ระยะยาวตลาดโลกยังต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายตลาด พร้อมเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอต่อเนื่อง สร้างแต้มต่อให้สินค้ามันสำปะหลังไทยเติบโตอย่างยั่งยืน


 
 
 
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่ามันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ทำรายได้ให้เกษตรกรชาวไร่ เกิดการจ้างงาน รวมทั้งสร้างรายได้จากการส่งออกให้กับประเทศมากเป็นอันดับ 4 ของสินค้าเกษตรทั้งหมด (รองจากข้าว ยางพารา และผลไม้) โดยไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่สำคัญ เช่น แป้งมันสำปะหลัง มันสำปะหลังเส้นและสตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง เป็นต้น ซึ่งครองแชมป์ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอันดับหนึ่งของโลกต่อเนื่อง (นำสหรัฐฯและฝรั่งเศส หลายเท่าตัว)

ทั้งนี้นอกจากไทยจะมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมันสำปะหลังแล้ว ความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ถือว่ามีส่วนช่วยส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมากที่สุดในโลก เนื่องจากช่วยขจัดอุปสรรคภาษีนำเข้าในประเทศคู่ค้า ทำให้ไทยได้แต้มต่อด้านราคา จึงมีโอกาสในการส่งออกและแข่งขันมากขึ้น ปัจจุบันผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าใน 15 ประเทศคู่ค้าที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง เหลือเพียง 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังเก็บภาษีการนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังบางรายการจากไทย

นางอรมน เพิ่มเติมว่าในระยะยาวแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมันสำปะหลังเป็นทั้งพืชอาหาร วัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และเป็นพืชที่ใช้ผลิตพลังงานทดแทน จึงมีตลาดรองรับอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแป้งมันสำปะหลังแปรรูป ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันสูง และจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์ เครื่องสำอาง และยา เป็นต้น จึงถือเป็นโอกาสของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ที่จะขยายการส่งออกได้เพิ่มขึ้น ซึ่งกรมฯพร้อมสนับสนุนด้วยการเดินหน้าเจรจาการค้า ผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้ไทย ภายใต้การเจรจาเอฟทีเอกรอบต่างๆ ทั้งการทบทวนความตกลงกับคู่ค้าที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย และความตกลงเอฟทีเอที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่น การเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) การเจรจากับตุรกี ปากีสถานและศรีลังกา รวมถึงการเจรจาเปิดตลาดกับคู่ค้าใหม่ในอนาคต เช่น สหภาพยุโรป เป็นต้น

นางอรมน เสริมว่าในปัจจุบันการแข่งขันทางการค้าในตลาดผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทวีความเข้มข้นขึ้น โดยคู่แข่งที่สำคัญของไทยในการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคือประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชาและเวียดนาม ที่เริ่มพัฒนาการผลิตตลอดจนคุณภาพสินค้าเพิ่มขึ้น ดังนั้นนอกจากข้อได้เปรียบจากเอฟทีเอแล้วผู้ประกอบการของไทยควรปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะมุ่งเน้นการรักษาคุณภาพควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพและมาตรฐานสินค้าให้เท่าทันกับความต้องการของตลาด เช่น ปรับเปลี่ยนกระบวนการแปรรูป การเก็บรักษา ตลอดจนความสะอาดในการขนส่งให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านสุขอนามัยพืช เป็นต้น

ในปี 2561ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังสู่ตลาดโลก 3,116 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวขึ้น 10% จากปี 2560 มีตลาดส่งออกสำคัญ 3 อันดับแรก คือ จีน (สัดส่วน 57%) อาเซียน (สัดส่วน 16%) และญี่ปุ่น (สัดส่วน 11%) มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทยไปยังประเทศคู่เจรจา 18 ประเทศ ที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย รวม 2,699 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 87% ของการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสถิติมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยสู่ตลาดโลกในปี 2561กับปี 2535 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ความตกลง FTA ฉบับแรกของไทยกับอาเซียนจะมีผลบังคับใช้ พบว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพิ่มขึ้นถึง 166% หากแยกรายตลาด พบว่าจากปีที่ความตกลงเอฟทีเอแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับจนถึงปี 2561มูลค่าการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยไปประเทศคู่เอฟทีเอขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกตลาด เช่น อาเซียน 1,237 % จีน 532 % ญี่ปุ่น 134% อินเดีย 102% ออสเตรเลีย 93% เป็นต้น สอดคล้องกับสถิติปี 2561ที่ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยขอใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออกมากอันดับต้น ทั้งนี้ในช่วง7เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.-ก.ค.)มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยสู่ตลาดโลกอยู่ที่ 1,688 ล้านเหรียญสหรัฐ

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 05 ก.ย. 2562 เวลา : 16:17:46
07-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.50บาท/ดอลลาร์

2. ทองเปิดตลาดวันนี้ (7 พ.ย. 68) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 62,150 บาท

3. ตลาดหุ้นไทยเปิด (7 พ.ย.68) ลบ 4.41 จุด ดัชนี 1,308.90 จุด

4. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (7 พ.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์

5. ตลาดหุ้นปิด (6 พ.ย.2568) บวก 18.02 จุด ดัชนี 1,313.31 จุด

6. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (6 พ.ย.68) บวก 9.78 จุดดัชนี 1,305.07 จุด

7. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (5 พ.ย.68) บวก 225.76 จุด รับผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจ สดใส

8. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (5 พ.ย.68) บวก 32.4 ดอลลาร์ นักลงทุนแห่ซื้อทองเลี่ยงความเสี่ยงฟองสบู่ตลาดหุ้น

9. พยากรณ์อากาศวันนี้ (6 พ.ย.68) ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 60% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก 20% ภาคกลาง 10% ?พายุคัลแมกี?เคลื่อนเข้าปกคลุม จ.อุบลฯ 7 พ.ย.

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (6 พ.ย. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 61,950 บาท

11. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

12. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (6 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์

13. MTS Gold คาดราคาทองคำรอปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนเพื่อรอการเลือกทางประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 3,960-3,930 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,000-4,020 เหรียญ

14. ตลาดหุ้นไทยเปิด (6 พ.ย.68) บวก 7.51 จุด ดัชนี 1,302.80 จุด

15. ตลาดหุ้นปิด (5 พ.ย.68) ลบ 3.31 จุด ดัชนี 1,295.29 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 7, 2025, 11:38 am