กองทุนรวม
บล.บัวหลวง ชู 2 ธีมลงทุน รับอานิสงส์คลายล็อกดาวน์โควิด-19 และภาคการผลิตและบริโภคฟื้นตัว


หลักทรัพย์บัวหลวง มองตลาดหุ้นไทย หลังผ่อนคลายล็อกดาวน์โควิด-19 อาจทรงตัว หรือแกว่งตัวซิกแซ็กขึ้นต่อเนื่อง แม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นเร็วเกินคาด เข้าใกล้เป้าหมายสิ้นปี 1,310-1,320 จุด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 จะออกมาแย่กว่า 3 เดือนแรกของปี พร้อมแนะทริคลงทุนปลอดภัย ด้วย 2 ธีมหลัก เน้นกลุ่มได้ผลดีจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริโภค


นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมีค.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแล้ว 32% จากระดับดัชนีต่ำสุดกลางเดือนมี.ค. ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ จนเข้าใกล้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 63 ของหลักทรัพย์บัวหลวงที่ให้ไว้ระดับ 1,310-1,320 จุด หลังนักลงทุนมองว่า จุดเลวร้ายที่สุดของประเทศไทยผ่านพ้นไปแล้ว หลังการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ฉะนั้นหากรัฐบาลประกาศผ่อนปรนในการเปิดกิจการระยะที่ 2 ในวันจันทร์ที่ 17 พ.ค.นี้ คาดว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 63 อาจอยู่ในลักษณะทรงตัว หรือแกว่งตัวซิกแซ็กขึ้น

ทั้งนี้ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าจะประกาศออกมาแย่กว่าไตรมาสแรก เนื่องจากหากพิจารณาจากจำนวนวันปิดกิจการต่างๆ ที่มีมากกว่าไตรมาสแรก โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักสุด คือ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสายการบิน และกลุ่มบริษัทที่อยู่สายการผลิตภาคอุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงธุรกิจ        ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเงิน เป็นต้น แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังคงมีกิจการที่ได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มพัสดุหีบห่อกระดาษ เป็นต้น หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ความต้องการสินค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเส้นทางการขายใหม่ ด้วยการหันมาพึ่งพิงออนไลน์มากขึ้น

“รูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมในภาวะเช่นนี้ อาจต้องอยู่ในลักษณะโยกซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์ จากการผ่อนคลายล็อกดาวน์ และการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริโภค เช่น หุ้น CPALL, GLOBAL,HMPRO, RS,CBG, PTTGC, TOP และ CRC เป็นต้น” นายชัยพร กล่าว  

สำหรับธีมการลงทุนในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ปี 63 แนะนำให้เน้น 2 ธีมหลัก นั่นคือ 1.ธีมในกลุ่มที่ได้ผลดี จากการผ่อนคลายล็อกดาวน์ หลังจะมีการเปิดห้างสรรพสินค้าบางแห่ง เช่น กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มค้าปลีก ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจ เช่น หุ้น CRC, HMPRO, และ GLOBAL รวมถึงกลุ่มร้านอาหาร เช่น หุ้น MINT,  M,  AU และกลุ่มสินค้าบริโภคจำเป็นอย่างร้านสะดวกซื้ออย่างหุ้น CPALL

2. ธีมกลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากการฟื้นตัว หลังการผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะ 2 จะทำให้ภาคการผลิตและการบริโภคกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ,สินค้าปิโตรเคมี และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ  ส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้รับความน่าสนใจตามไปด้วย เช่น หุ้น PTTGC, IVL และ TOP เป็นต้น  

 อย่างไรก็ดีสำหรับการลงทุนในทองคำ ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยมีสูงขึ้น จากความวิตกกังวลการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่ทองคำยังได้ประโยชน์จากสภาพคล่องในระบบที่สูง เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อ คาดว่าในเดือนพ.ค.นี้ ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ฉะนั้นแนะนำลงทุนสัดส่วนประมาณ 5-10% ของพอร์ตลงทุน

“ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แนะนำให้จัดพอร์ตลงทุน โดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนหลักๆ ออกเป็น 4 ส่วน คือ 1.ตลาดเงินและตราสารหนี้ สัดส่วน 15% เพื่อสำรองสภาพคล่อง 2.ทองคำ สัดส่วน 16% เพื่อป้องกันความเสี่ยง 3.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์,กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและ REITs สัดส่วน 9%  และ 4.หุ้นไทยและต่างประเทศ สัดส่วน 60%” นายชัยพร กล่าว  

นายชัยพร กล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทยที่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ หากเชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดระลอกใหม่และจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หลังผ่อนคลายล็อกดาวน์ ตลาดหุ้นอาจตอบรับในเชิงลบ แต่หากผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในจำนวนไม่มาก และสถานการณ์ไม่น่ากังวล ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ดังนั้นมองว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 63 จะขึ้นอยู่ที่การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก ซึ่งเราคาดว่า ตัวเลขเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆ จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติอาจต้องใช้เวลาถึงสิ้นปี 63 หรือต้นปี 64  

ทั้งนี้หากพิจารณาจากปัจจัยหนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ ,การอัดฉีดเงินของภาครัฐ ,การซัพพอร์ตเม็ดเงินของธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยที่ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ก็เชื่อได้ว่า ตลาดหุ้นไทยจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นอย่างช้าๆ ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป 
 

บันทึกโดย : วันที่ : 14 พ.ค. 2563 เวลา : 12:11:51
26-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 2 พ.ค. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนวิภาวดีรังสิต

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 เม.ย.67) ลบ 2.25 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.02 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,310 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,350 เหรียญ

4. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.90-37.15 บาท/ดอลลาร์

6. ทองปิดบวก $4.10 รับดอลล์อ่อน-แรงซื้อลดความเสี่ยง

7. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 เม.ย.67) บวก 0.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.95 จุด

8. ดาวโจนส์ปิดร่วง 375.12 จุดหลัง GDP สหรัฐชะลอตัว - เงินเฟ้อพุ่ง

9. ทองพุ่ง! ราคาทองวันนี้ 26/4/67 ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 100 บาท ทองคำแท่งขายออกบาทละ 40,850 บาท

10. ทั่วไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส ฟ้าหลัว ฝนฟ้าคะนองบางแห่ง และลมกระโชกแรงตลอดช่วง

11. ตลาดหุ้นปิด (25 เม.ย.67) บวก 3.17 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.27 จุด

12. ประกาศ กปน.: 29 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบ้านบางไผ่-บ้านหนองเพรางาย

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 เม.ย.67) บวก 1.72 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.82 จุด

14. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบเช่นเดิมระหว่าง 2,290-2,330 เหรียญ

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ลบ 42.77 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด บดบังผลประกอบการ บจ.แกร่ง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 3:50 pm