ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
กิมเอ็งชี้ แรงกดดันเพิ่มทุน KTB ฉุดดัชนีหุ้นไทยอาจปิดลบเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ


กลยุทธ์วันนี้ Buy on Weakness
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดบวกเป็นวันที่ 4 อีกเพียง 3.57 จุด มาอยู่ที่ 1217.70 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 29,734 ล้านบาท ทั้งนี้ SET INDEX ไม่สามารถยืนเหนือ 1220 จุดได้ แม้ว่าจะทะลุระหว่างชั่วโมง

เงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเป็นวันที่ 5 อีก 1,506 ล้านบาท Long สุทธิใน SET50 Futures เป็นวันที่ 4 อีก 1,681 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 9 อีก 3,186 ล้านบาท ซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันเป็นวันที่ 4

MBKET คาด SET INDEX วันนี้แกว่งตัวในกรอบแคบอีกวัน และอาจปิดลบเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ เพราะได้แรงกดดันจากการประกาศเพิ่มทุน KTB ที่อัตราส่วน 4:1 ราคาหุ้น 12.60 บาท ขึ้น XR วันที่ 28 ส.ค. กดดันบรรยากาศการลงทุนในกลุ่มธนาคาร บวกกับเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่อยากถือหุ้นข้ามสัปดาห์ อีกทั้งขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าหนุนการลงทุน ขณะที่ปัจจัยสำคัญในเช้าวันนี้อยู่ที่ตัวเลขการนำเข้า – ส่งออกเดือนก.ค.ของจีน คาดว่าจะส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง

ภาพในสัปดาห์หน้า MBKET ประเมินว่า SET INDEX น่าจะแกว่งลักษณะ Sideways-to-Sideways-Up ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในกลุ่มอียูเป็นสำคัญ หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ หลังการประชุม ECB อีกทั้งนายกรัฐมนตรีเยอรมันกลับจากการลาพักร้อน อาจเห็นความคืบหน้าต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาในตลาดพันธบัตรทั้งตลาดแรกและตลาดรอง

กลยุทธ์ภาพรวม MBKET แนะนำ “เพิ่มพอร์ตอีก 5% เป็น 55% และเงินสดลดลงเหลือ 45%” โดยเป็นการสะสมบริเวณ 1210+/- จุด

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ “เพิ่มพอร์ตอีก 5% บริเวณ 55%” พร้อม “เก็งกำไร” RML และ “ทยอยสะสม” BTS

กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ “พอร์ตถือ Long ที่มีต้นทุนตั้งแต่ 830 จุดขึ้นไป รอทำกำไรปิดความเสี่ยง ตามแนวต้านภาพรายสัปดาห์ อาทิ แนวต้าน 840-845 จุด” Stop loss < 825 จุด

Portfolio Add more 5% at 1210+/-: VNT/ TTCL/CPF/ AP/ PS/ RML/ AMATA/ TUF/ MAJOR/ CPN/ PTTGC/ PTT/ SMIT/ SPCG/ DEMCO/ SMT/ JAS/ AOT/ SCC/ AH/ PHATRA/ AAV/ BTS/ KTB

Speculative Buy: RML

Accumulative Buy: BTS

Technical View แนวรับ 1205-1210, 1200, 1185-1190 และ 1172 +/- จุด แนวต้าน 1227 +/- จุด คงมองทิศทางตลาดเป็นจังหวะของการเล่นรอบดีดตัวระยะสั้นมากกว่าจะเกิดรอบการเดินหน้าไต่ระดับไกลๆ

Action and Stock of the Day
SET INDEX ปิดต่ำกว่า 1220 จุดอีกครั้ง

ข่าวการเพิ่มทุนของ KTB กดดัน Upside Gain ของ SET INDEX ในวันนี้ พร้อมกับเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว ,สะสมหุ้นหลัก เพิ่มบริเวณ 1,210+/-

ด้านตลาดหุ้นรอบเอเชียวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบ เว้นตลาด TAIEX – KOSPI ปิดบวกถึง 1.56% และ 1.96% ตามลำดับ เนื่องจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นทั้ง 2 อย่างหนาแน่น ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวานนี้ขยับขึ้นทะลุแนว 1220 จุดในระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย แต่ก็เกิดแรงขายทำกำไรมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน อีกทั้งตลาดหุ้นยุโรปแกว่งตัวในกรอบแคบ และปรับฐานลงบางตลาด ทำให้แรงขายทำกำไรมีน้ำหนักต่อการกำหนดทิศทาง SET INDEX มากขึ้น ปิดตลาด SET INDEX บวกเป็นวันที่ 4 เพียง 3.57 จุด มาอยู่ที่ 1217.70 จุด มูลค่าการซื้อขาย 29,734 ล้านบาท

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นบวกสูงสุดได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +1.38%, กลุ่ม ICT +1.28% และกลุ่ม Home +0.53% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มธนาคาร +0.44%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง +0.16%, กลุ่มอสังหาฯ +0.13%

ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นในเอเชียวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่มี downside risk ที่จำกัด เพราะนักลงทุนทั่วโลกยังคงคาดหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินทั้งจาก PBOC – ECB – FOMC อีกทั้งเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่อย่างหนาแน่น

และตลาดหุ้นไทย คาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,210-1,220 จุด และอาจปิดลบเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ เพราะแรงกดดันจากการเพิ่มทุนของ KTB ในอัตราส่วน 4:1 ราคาหุ้นเพิ่มทุน 12.60 บาท แม้ว่าจะทำให้ความกังวลต่อ Dilution Effect หมดลง เพราะทราบผลที่ชัดเจน แต่ในช่วงสั้นจะกดดันราคาหุ้น KTB รวมไปถึงกลุ่มธนาคารเช่นกัน ทำให้ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสขยับได้แย่กว่าภูมิภาคในเชิงเปรียบเทียบ

MBKET เสนอให้นักลงทุน “สะสมพอร์ตหุ้นเพิ่มอีก 5% เป็น 55% บริเวณ 1210+/-“ เพราะด้วยกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอย่างหนาแน่นในตลาดหุ้นทั่วเอเชียเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย บวกกับการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ และปิโตรเคมี ย่อมเอื้อต่อการผลักดันให้ SET INDEX มีโอกาสทดสอบแนว 1,230-1,240 จุด

ปัจจัยสำคัญวันนี้
1. จับตาตัวเลขเศรษฐกิจจีนเช้านี้ เวลา 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย: ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญคือ การนำเข้า – ส่งออกเดือนก.ค. รวมถึงดุลการค้า

-หากออกมาต่ำกว่าคาด: MBKET เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในเอเชียเช้าวันนี้ เพราะตลาดรับรู้ถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงต่อการเติบโตในระดับต่ำไปมากแล้ว แต่หากออกมาต่ำกว่าคาด อาจกลายเป็นการสร้างโอกาสของการเก็งกำไรต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และ/หรือการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐตามมา

-หากออกมาดีกว่าคาด: MBKET ประเมินว่าจะเอื้อต่อการเก็งกำไรในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นนี้จะเป็นบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมันและปิโตรเคมี

2. เงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่อง แต่อาจชะลอตัวในวันนี้: หลังจากซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง และในอัตราเร่ง มาเกือบตลอดทั้งสัปดาห์นี้ และเป็นการซื้อสุทธิทั่วตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ ไม่เพียงแต่ตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เป็น Neutral ทำให้เงินทุนต่างชาติน่าจะเริ่มชะลอตัวในวันนี้ แต่ยังไม่ใช่การเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการขายสุทธิแต่อย่างใด

3. จับตาอียูสัปดาห์หน้า หลังผู้นำเยอรมันกลับจากลาพักร้อน: สัปดาห์หน้า นายกรัฐมนตรีเยอรมัน นาง Merkel จะกลับเข้าทำงานตามปกติ สิ้นสุดการลาพักร้อน ซึ่งประเด็นร้อนที่นักลงทุนทั่วโลกต่างรอคอยคือ ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรป การเปิดทางให้ ECB เข้าซื้อพันธบัตรในตลาดแรกได้ คาดว่าจะเห็นความคืบหน้า หรือมีความเห็นจากผู้นำเยอรมันในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นตัวแปรชี้นำทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

4. หุ้นหลักวันนี้พักฐาน หุ้นขนาดกลางและเล็กเด่นแทน: นอกเหนือจากขาดปัจจัยใหม่เข้าชี้นำการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้แล้ว เงินทุนต่างชาติที่ชะลอตัว บวกกับการเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย ทำให้เชื่อว่าหุ้นหลักในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารจะแกว่งตัวออกด้านข้าง หรือมีโอกาสเจอแรงขายทำกำไรเข้ามาตลอดชั่วโมงการซื้อขาย ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก คาดว่าจะขยับขึ้นได้เด่นกว่า เพราะผลการดำเนินงานใน 2Q55 ที่ทยอยประกาศออกมานั้น ดีกว่าคาด พร้อมส่งสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่องใน 2H55 อีกด้วย เช่น RML/ PS / LPN / TK เป็นต้น


กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ““ทยอยสะสม” ได้แก่

1. BTS : ราคาปิด 5.38 บาท ราคาเหมาะสม 6.00 บาท

a) BTS จะเริ่มซื้อขายบนพาร์ใหม่ในวันนี้ จากเดิมที่ 0.64 บาท เป็น 4.00 บาท โดยจะส่งผลให้จำนวนหุ้นทั้งหมดลดลงจาก 5.72 หมื่นล้านหุ้น เหลือ 9.16 พันล้านบาท ขณะที่ทางทฤษฎีแล้ว ราคาต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น 6.25 เท่าเช่นกัน โดยหากอิงราคาปิดวานนี้ที่ 0.86 บาท จะเทียบเท่าราคาบนพาร์ใหม่ที่ 5.38 บาท และคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกทางจิตวิทยา เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ลดลง จะส่งผลให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น

b) และเรามีมุมมองเชิงบวกต่อทุกธุรกิจของ BTS ที่จะสอดประสานกัน เพื่อผลักดันการเติบโตของกำไร ได้แก่

I. ธุรกิจเดินรถไฟฟ้ามีจุดเด่นที่การเติบโนในระยะยาวอย่างมั่นคง ภายใต้สัญญาสัมปทานกับกทม.

II. ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการ The Abstact สุขุมวิท 66/1 ล็อตสุดท้ายจำนวน 160 ล้านบาทได้ในปีนี้ และ The Abstact พหลโยธิน มียอด Presales ขยับขึ้นเป็น 54% และมีกำหนดโอน 150 ยูนิตแรก ตั้งแต่ ก.ย. 2555 เป็นต้นไป

III. และธุรกิจโฆษณา เป็นธุรกิจที่มี Margin ในระดับสูงถึงเกือบ 60% และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เพราะเป็นสื่อที่เข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และแผนการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนใน ตลท. จะช่วยปลอดล็อก Asset Value ได้ในอนาคต

c) ดังนั้น เราคาดว่ากำไรปกติปี 2555/56 จะขยายตัวสูงถึง +70% yoy เป็น 1,622 ล้านบาท และต่อเนื่องอีก +60% yoy ในปี 2556/2557 เป็น 2,599 ล้านบาท

d) และยังมี Upside Risk ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ เช่น โปรเจกส์ใหม่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่คาดจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของกำไรในระยะยาว จึงแนะนำ “ทยอยสะสม” สำหรับการลงทุนระยะกลาง – ยาว ขึ้นไป
และ “ซื้อเก็งกำไร” ได้แก่

2. RML : ราคาปิด 1.56 บาท ราคาเหมาะสม 1.98 บาท

a) รายงานกำไรสุทธิ 2Q55 พลิกเป็นกำไร ในรอบ 5 ไตรมาสที่ 101 ล้านบาท และดีกว่าคาดการณ์ของเราที่ 50 ล้านบาท เนื่องจากมีการกลับรายการภาษีจากการใช้ประโยชน์ของ Tax Shield

b) ขณะที่รายได้ +513% yoy และ +521% qoq เป็น 1,151 ล้านบาท จากการเริ่มรับรู้รายได้โครงการ The River เป็นไตรมาสแรก

c) ณ สิ้น 2Q55 มี Backlog สูงถึง 18,347 ล้านบาท โดยมาจากโครงการ The River 54%, โครงการ 185 ราชดำริ 31%, โครงการ Zire 10% และ Unixx กับ Northpoing รวมกัน 5%

d) ดังนั้น คาดว่ากำไรสุทธิตั้งแต่ 3Q55 เป็นต้นไป จะเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการรับรู้รายได้โครงการ The River เป็นจำนวนมากใน 2H55 และคาดว่ากำไรสุทธิ 2H55 จะเติบโตสูงถึง 1,222 ล้านบาท จาก 1H55 ที่ 31 ล้านบาท และ 3Q – 4Q55 จะมีกำไรระดับ 500 – 600 ล้านบาทต่อไตรมาส

e) ราคาหุ้นยังมี Valuation ที่ค่อนข้างถูกโดยซื้อขายที่ PER2555 - 2556 ที่ 4.8 เท่า และ 4.4 เท่าตามลำดับ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ 10.3 เท่า และคาดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวก หลังรายงานกำไรสุทธิ 2Q55 ออกมาดีกว่าและเป็นประเด็นให้เข้า“ซื้อเก็งกำไร”ได้

What will DJIA move tonight? ปัจจัยสำคัญในคืนนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาสินค้านำเข้า – ส่งออกเดือนก.ค.

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 ส.ค. 2555 เวลา : 10:56:23

26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 4:49 am