ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน PPI สูง สงครามการค้า น้ำมันร่วงฉุด SET แต่ลุ้นรีบาวด์ (12/07/61)


 “PPI สูง สงครามการค้า น้ำมันร่วงฉุด SET แต่ลุ้นรีบาวด์”

• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index กลับมาปรับลง 6.97 จุด ปิดที่ 1636.63 จุด อยู่ในเกณฑ์ปรับลงน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 44.5 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีไปทำยอดต่ำสุดถึง 1628.03 จุด ปัจจัยลบคือ จากข่าวสหรัฐเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่ม และดอลาร์แข็งค่า (เงินไหลออก) กลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลง คือ กลุ่มหลักต่างๆ แต่หลักทรัพย์ที่ปรับขึ้นนั้นมีข่าวเฉพาะตัวคือ AEONTS ประกาศงบ 2Q61 แข็งแกร่ง MK มีบริษัทย่อย SPALI ทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ และ KTC เก็งกำไรก่อนแตกพาร์ 13 ก.ค.61 นี้ ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ รายย่อย 0.5 พันลบ. สถาบัน 0.2 พันลบ. และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.1 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 0.8 พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีโอกาสถูกปัจจัยลบฉุดคือ ตัวเลข PPI สหรัฐออกมาสูงกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ราคาน้ำมันร่วงแรง และข่าวเดิมสหรัฐเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่มและดอลาร์แข็งค่า (เงินไหลออก) แต่ปัจจัยบวกที่ค้ำอยู่คือ การคาดการ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐจะออกมาดี และความกังวลสงครามการค้ารับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว รวมทั้งสถาบันมีแรงซื้อต่อเนื่อง ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับลงกันเป็นส่วนใหญ่ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +38 จุด น้ำมันล่วงหน้าปรับขึ้น วันนี้จึงต้องระวังแรงขายทำกำไร แต่ยังมีลุ้นรีบาวด์ เพราะ SET ลงมามาก จนเริ่มถูก ปันผลสูง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไรลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1580-1660 จุด
  Update หุ้นเด่น : RICHY – คาดว่าจะเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่ประกาศกำไรหลัก 2Q61 โดดเด่นคือ 125 ล้านบาท เพิ่มก้าวกระโดด 564% y-o-y และ 228% q-o-q แต่เนื่องจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากหุ้นปันผลปี 60 ยังผลให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มน้อยกว่าเป็น 519% และ 207% ตามลำดับ และถือว่ากำไร 2Q61 จะเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา สืบเนื่องจากเป็นไตรมาสแรกที่เริ่มโอนคอนโดริชพาร์ค @ ทริปเปิ้ลสเตชั่น ซึ่งมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่ 2.3 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 60 สำหรับประมาณการกำไร 1H61 เป็นสัดส่วนที่ 46% เทียบกับทั้งปีที่คาดไว้ 351 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 113% y-o-y และเป็นกำไรรายปีที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 2.03 บาท ด้วย P/E 7 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 22%
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1640-1650, 1660 โดยมีแนวรับ 1580-1560
  สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น AEONTS, STEC, BGRIM, GFPT, WORK, MINT ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BEM, KTB, GULF, HMPRO, TCAP หุ้นที่หลุด List EGCO, SPALI, SAT และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ HANA, MTC

Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สูง กังวลเฟดรีบขึ้นดอกเบี้ย
  # กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% และหากเทียบเป็นรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 3.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2554 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.2% โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนี PPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในภาคบริการ
  # การพุ่งขึ้นของดัชนี PPI ทำให้นักลงทุนเชื่อว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามแผนในปีนี้ โดยในการประชุมเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมานั้น เฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นในเดือนก.ย. และธ.ค.
-จีนมีทีท่าตอบโต้สหรัฐ แต่ยังไม่ชัดเจน
  # การทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาประท้วงการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ และเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้เช่นกัน
+ จับตาประกาศผลประกอลการบริษัทขนาดใหญ่ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ค
  # นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค,เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 20% หลังจากที่พุ่งขึ้น 24% ในไตรมาสแรก
+/- ปัจจัยน้ำมันมีทั้งบวกและลบ มีผลต่อหุ้นกลุ่มพลังงานบ้านเราต่อไป
  # ปัจจัยบวกที่สำคัญคือ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกชนิด หลัง API รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ สัปดาห์ล่าสุด ลดลง 6.8 MMB ประกอบกับแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Knarr (24 KBD) ในนอร์เวย์หยุดดำเนินการเพราะพนักงานแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมหยุดงานประท้วงเพื่อเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาวะอุปทานน้ำมันชะงักงันขยายวงกว้างขึ้น หลังลิเบียผลิตและส่งออกน้ำมันดิบ ลดลงกว่า 60% จากช่วงต้นปี ล่าสุดอยู่ที่ 530 KBD เพราะความขัดแย้งในประเทศ และอุปทานน้ำมันจากแหล่งผลิต Syncrude (360 KBD) ในแคนาดาของบริษัท Suncor Energy หยุดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย. 61 ซึ่ง อยู่ระหว่างการซ่อมแซมและคาดว่าจะกลับมาดำเนินการผลิตเต็มกำลังเดือน ก.ย. 61
  # อย่างไรก็ตามปัจจัยลบคือ รมต. ต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่าจะพิจารณาคำขอยกเว้นการคว่ำบาตรนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านเป็นรายประเทศ อาจลดทอนความเข้มงวดของมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ ลงจากเดิมที่ตั้งเป้าให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบได้ (JODI ระบุอิหร่านส่งออกน้ำมัน เดือน ม.ค.- เม.ย. 61 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 MMBD) (บมจ.ปตท.)
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับลงแรง วิตกสงครามการค้า ซาอุเพิ่มการผลิต
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 3.73 ดอลลาร์ หรือ 5% ปิดที่ 70.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2560
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. ดิ่งลง 5.46 ดอลลาร์ หรือ 6.9% ปิดที่ 73.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญานํ้ามันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งรายงานที่ว่าซาอุดิอาระเบียเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนที่แล้วเพื่อสกัดราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น และข่าวลิเบียประกาศเปิดสถานีส่งออกน้ำมันอีกครั้งเมื่อวานนี้
-ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า หลัง PPI พุ่ง
  # ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลที่บ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือน มิ.ย. ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามแผนในปีนี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง กังวลสงครามการค้ารอบใหม่
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,700.45 จุด ร่วงลง 219.21 จุด หรือ -0.88% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,774.02 จุด ลดลง 19.82 จุด หรือ -0.71% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,716.61 จุด ลดลง 42.59 จุด หรือ -0.55%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงหุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทรุดตัวลงถึง 5%
• ทองคำ : ปรับลง ผลจากดอลลาร์แข็งค่า
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 11 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 1,244.40 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สร้างแรงกดดันต่อตลาด ขณะเดียวกันนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในช่วงเวลาที่การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศสัปดาห์นี้
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.,จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
• ปัจจัยการเมือง: พิจารณาความเห็นชอบบุคคลเสนอชื่อ กกต.ชุดใหม่
  # นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ ในวันนี้ (12 ก.ค.)ว่า ตามขั้นตอนจะเป็นการประชุมลับเพื่อพิจารณารายงานการตรวจสอบประวัติเชิงลึกของคณะกรรมาธิการฯ
  # ส่วนที่ประชุม สนช.จะมีการล้มกระดานหรือไม่นั้น นายสุรชัย กล่าวว่า ไม่น่าจะมีประเด็นถึงขนาดนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าบุคคลที่มาสมัครในครั้งนี้เบื้องต้นน่าจะสำรวจตัวเองมาแล้ว เพราะถ้าคนที่มาสมัครไม่มั่นใจก็อาจจะถูก สนช.ปฏิเสธได้อีก (ASPEN)
+ หุ้นใหม่เข้าตลาดวันนี้ TEAMG (ตลาด SET) ราคา IPO 2.42 บาท
  # TEAMG ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรตั้งแต่การศึกษา ออกแบบ จัดทำรายงานบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึงการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
  # ชื่อย่อ TEAMG เข้าซื้อขายใน SET ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจบริการเฉพาะกิจ วันที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และวันที่เริ่มทำการซื้อขายในวันที่ 12 ก.ค.61 มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. จำนวน 680 ล้านหุ้น และหุ้นชำระแล้ว 680 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 340 ล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 180 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.42 บาท ระหว่างวันที่ 4-6 ก.ค.61
  # ฝ่ายวิจัยฯ DBS ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ (Not Rated) แต่ราคาตลาด consensus จากนสพ.ข่าวหุ้น ลงว่า”ลุ้นราคาวิ่งเกิน 3 บาท”
-/• หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโดยเฉพาะ AOT และ AAV ร่วงแรง กังวลนักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลง
  # AOT และ AAV ปรับลงมาก เพราะกังวลนักท่องเที่ยวจีนจะหดหายหลังเกิดเรื่องอุบัติเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต และมีนักการเมืองไปกล่าวถึงเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญ อีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนมีความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐ-จีน หากจีนเศรษฐกิจแย่ลง ก็อาจทำให้มาเที่ยวไทยน้อยลงไปอีกด้วยต้องติดตาม ด้าน AOT มีความกังวลจะใช้บริการสนามบินน้อยลง และ AAV ก็มีเส้นทางไปจีนมาก ทั้งเที่ยวไป-กลับ หากเทียบกับสายการบินอื่นๆ
  # ผลกระทบ: คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น ถือว่านักท่องเที่ยวจีนมีความสำคัญกับการท่องเที่ยวไทยมาก งวดพ.ค.จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 2.75 ล้านคน (+6.4%) เป็นจีน 0.869 ล้านคน (+14.1%) คิดเป็นสัดส่วนถึง 31.6% ส่วนระยะกลาง-ยาว คาดว่าสถานการณ์จะทยอยดีขึ้น
+/• KTC: ประกาศวันใช้พาร์ใหม่แล้ว คือ พรุ่งนี้ 13 ก.ค.61
  # ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) ของบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยจะมีทำการซื้อขายพาร์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.61
  # ผลกระทบ: หากใช้ราคาปิดวานนี้ที่ 357.00 บาท เมื่อถึงวันใช้พาร์ใหม่ราคาหุ้นจะปรับลงเป็น 35.70 บาท แต่จำนวนหุ้นของนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ความจริงการแตกพาร์ไม่ทำให้ราคาพื้นฐานเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นดีขึ้น ราคาหุ้น KTC ดีดตัวขึ้นสูงมาก่อนหน้าแล้ว จึงอาจต้องระมัดระวังว่าเมื่อใช้พาร์ใหม่แล้ว อาจกลับไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้แรง ก็เนื่องจากมีการเก็งกำไรมาก่อนหน้าส่วนหนึ่งแล้ว
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
  # หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 12 ก.ค. 2561 เวลา : 09:54:34

08-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 8, 2024, 7:07 pm