ด้วยความเป็น Leader ในธุรกิจทองคำมานานกว่า 5 ปีของบริษัท วาย แอล จี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ในเครือบริษัท ยูหลิม ทำให้สปอตไลท์ทุกดวงฉายไปยัง “คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์” หรือคุณมล ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ว่าจะนำองค์กรก้าวไปทางไหน และจะสร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งให้องค์กรอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจทองคำ
คุณฐิภา กล่าวว่า ธุรกิจทองคำเติบโตอย่างมากในช่วง 4-5 ปีก่อน และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดเติบโตขึ้นถึง 550% ทั้งนี้หากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จะทำให้ราคาทองคำปรับขึ้น ซึ่งคาดว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นไปอีก จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกาที่ยังย่ำแย่อยู่ รวมถึงยุโรปที่ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด จึงทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในส่วนของ วาย แอล จีฯ ปีที่แล้ว มียอดซื้อ-ขายมากถึง 400,000 ล้านบาท จากจำนวนลูกค้า 3,000-4,000 ราย โดยลูกค้ามียอดซื้อ-ขาย ตั้งแต่ 1 กิโลกรัม ไปจนถึง 1,000 กิโลกรัม มีมาร์เก็ตแชร์ราว 40% ของตลาดรวม และตั้งเป้ายอดซื้อ-ขายเติบโตขึ้น 100% ในปีนี้ หรือคิดเป็นจำนวน 800,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรก มียอดซื้อ-ขายแล้วกว่า 240,000 ล้านบาท
ชูกลยุทธ์ WIN WIN
สำหรับกลยุทธ์ที่จะทำให้วาย แอล จีฯ ครองใจลูกค้าเก่าให้อยู่กับบริษัทตลอดไป และแผนเพิ่มลูกค้ารายใหม่นั้น คุณฐิภา กล่าวว่า จะให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าอย่างดี โดยยึดหลัก “เราได้ ลูกค้าต้องได้ด้วย ในลักษณะ WIN WIN” เพราะถ้าลูกค้า Happy มีกำไรจากการลงทุน ก็จะอยู่กับเราตลอดไป
การดูแลลูกค้าจะให้คำปรึกษา แนะนำการลงทุน ซึ่งวาย แอล จีฯเป็นรายแรกที่ให้คำแนะนำลูกค้ามาตลอด 9 ปี ว่า พรุ่งนี้ราคาทองคำจะเป็นอย่างไร มีข้อมูลข่าวสารวันละ 3 รอบ รายงานราคาทองคำแบบเรียลไทม์ให้ลูกค้าดูฟรีผ่านเว็ปไซต์ มีการติดต่อสื่อสารในลักษณะ Social Network ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีบริการใหม่ ๆ ให้ลูกค้าตลอดเวลา ล่าสุด ให้บริการ Internet Tread ลูกค้าสามารถซื้อ-ขายได้ทันที
ไม่พลาดโอกาสสร้างกำไร
ส่วนของไฮไลท์ของการให้บริการที่วาย แอล จีฯ ทำเป็นรายแรกและรายเดียว คือให้บริการเทรดตั้งแต่เวลา 10.00-02.00 น. ทำให้ลูกค้าไม่พลาดโอกาสในการซื้อขาย และลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบเทรดในช่วงหลังเลิกงาน เห็นได้จากยอดเทรดในช่วง 19.00 น. มีมากกว่าช่วงเวลาทำงานปกติ ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มเจ้าของกิจการ และแพทย์จะเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่เฉลี่ยที่ 60% ลูกค้าหลักมีอายุ 40-60 ปี
สิ่งที่ วาย แอล จีฯ ทำตลอดมา สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามาก เพราะได้กำไรสูงสุด และบริการดีที่สุด แต่ คุณฐิภา ก็ยอมรับว่า การทำงานที่ผ่านมาประสบปัญหาบ้าง และหากมีลูกค้าหายไปก็จะรีบติดตามปัญหาและเข้าไปแก้ไขปัญหาทันที โดยมองปัญหาเป็นหลัก ไม่ได้มองว่าใครทำให้เกิดปัญหา เพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างทันท่วงที ทำให้ลูกค้ากลับมา
“ลูกค้าหลายรายเคยลงทุนในทองคำเป็นงานอดิเรก และมีรายได้หลักจากงานประจำ แต่หลังจากที่ได้ผลกำไรเป็นกอบเป็นกำจากการลงทุนในทองคำ จึงเปลี่ยนเป็นสร้างรายได้หลักจากการลงทุนในทองคำแทนงานประจำ” คุณฐิภา กล่าว
แนะกระจายความเสี่ยง
แม้ว่า การลงทุนในทองคำจะให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี แต่คุณฐิภา ไม่ได้แนะนำให้นักลงทุนโหมลงทุนมากนัก โดยจะแนะนำให้กระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ให้ลงทุนทองคำ 10-30% พันธบัตร และสินค้าเกษตรบ้าง เพราะมีแนวโน้มดี ซึ่งหากจะลงทุนในทองคำจะแนะนำให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และให้ทดลองลงทุนเอง โดยให้ใช้วิธีจดไว้ในกระดาษ ว่าซื้อมาในราคาเท่าไหร่ และพอใจหรือไม่ หากจะขายแล้วมีกำไรหรือขาดทุน ถ้ายอมรับได้ จึงลงทุนซื้อ-ขายจริง โดยเน้นย้ำว่า หากราคาขึ้นให้ขาย ขณะที่ราคาลงให้ถือไว้ หรือซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งการลงทุนระยะสั้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่า
คุณฐิภา เล่าว่า ความสำเร็จในการทำธุรกิจเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์มาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะธุรกิจเดิมของคุณพ่อ คุณแม่ คือจิวเวลลี่ เป็นธุรกิจเล็ก ๆ มีพนักงานเพียง 5 คน ทำให้ต้องช่วยที่บ้านทำงาน ทำทุกอย่างที่เด็กจะทำได้ ตั้งแต่เช็คกระจก ซีร็อกส์ ส่งสินค้า เป็นเซลล์ เปิดบิล รวมถึงไปช่วยงานแฟร์ในต่างประเทศ ก็ต้องไปช่วยทั้งเช็คกระจก ดูดฝุ่น แจกโบว์ชัวร์ เฝ้าบู๊ธ พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ไปช่วยดูแผนกจัดซื้อ ส่งของ (เวลารถติดก็ซ้อนมอเตอร์ไซด์ ไปส่งสินค้า เพื่อให้ทันเวลาที่นัดหมาย) ทำให้ซึมซับประสบการณ์มาโดยไม่รู้ตัว
ความเป็นเด็กก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อดี คือหากมีอะไรผิดพลาดผู้ใหญ่ก็จะให้อภัยและสอน ซึ่งมีครั้งหนึ่งเคยคิดเงินผิด ลูกค้าก็คืนเงินให้ และสอนเรา ถือว่าคนรอบข้างให้โอกาสเรามาก
โฟกัสธุรกิจเกี่ยวเนื่องทองคำ
สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจนั้น มีแผนจะขยายธุรกิจที่ถนัด มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจทองคำ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งในอดีตเราทำธุรกิจแบบครอบครัว แต่ปัจจุบันได้เริ่มให้มืออาชีพเข้ามาช่วยงานมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายไลน์สู่ธุรกิจด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาแนวโน้มความเป็นไปได้ และปรึกษากับครอบครัว ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่คาดว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ศึกษาอยู่นี้ คุณฐิภา ไปลงทุนธุรกิจอาหาร โดยเปิดร้านอาหารชื่อไชน่าทาวน์ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 สนามบินสุวรรณภูมิเรียบร้อยแล้ว
ต้องไม่ลืมแบ่งเวลา
แม้ว่าหน้าที่ความรับผิดชอบในบริษัทจะหนักหน่วง แต่ คุณฐิภา ไม่ลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับตัวเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง เพราะต้องการให้เวลากับคนที่เรารักอย่างเต็มที่ ซึ่งหลังเลิกงานจะแบ่งเวลาให้กับตัวเอง และเพื่อน ๆในการทำกิจกรรม งานอดิเรก หรือเลือกออกกำลังกายที่ตัวเองชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ อ่านหนังสือ และที่ขาดไม่ได้คือการนั่งสมาธิ สวดมนต์ และเล่นโยคะ (มีครูมาสอนที่บ้าน) เพราะนอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบแล้ว ยังได้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงานด้วย
สำหรับหลักการดำเนินชีวิตของคุณฐิภา นั้น จะนำวิถีพุทธเข้ามาเกี่ยวด้วย เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยคิดเสมอว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน ต้องทำทุกอย่างอย่างเต็มที่กับครอบครัว กับคนที่เรารัก ซึ่งควรบาลานซ์ระหว่างงาน กับครอบครัว และมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ การทำงานมาก มีเงินมาก บางครั้งก็อาจจะไม่ได้ใช้เงินก็ได้
“บางครั้งการมีเงินมาก มีฐานะร่ำรวยไม่ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป ตัวอย่างเช่น คนรอบข้างที่รวย ๆ หลายคนไม่มีความสุข บางคนขับรถหรู แต่หน้าเครียด ขณะที่บางคนขี่มอเตอร์ไซด์โดยมีลูกกอดเอวซ้อนท้าย ดูมีความสุขมากกว่า ดังนั้น จึงเลือกที่จะมีเวลาให้กับครอบครัวและคนที่เรารัก มากกว่าการทุ่มเทกับการทำงานจนลืมคนรอบข้าง”
ฐิภา บอกว่า การพักผ่อนที่ชื่นชอบและทำค่อนข้างบ่อย คือ เดินเล่น ช้อปปิ้ง ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปและร้องคาราโอเกะบ้างกับเพื่อนที่เรียนธรรมศาสตร์ โดยมีร้านประจำเป็นร้านอาหารและคาราโอเกะอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงาน ในย่านธุรกิจ บริเวณถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นร้านของญาติกัน
ส่วนครอบครัวแล้ว จะใช้เวลาว่างในวันหยุดเสาร์ –อาทิตย์ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
สำหรับสไตล์การแต่งตัวนั้น ไม่น่าเชื่อว่าสาวสวยทันสมัย หน้าตาเก๋ไก๋อย่าง คุณฐิภา จะชื่นชอบการแต่งตัวแบบสบาย ๆ ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ ไม่ค่อยชื่นชอบการแต่งหน้า หรือแต่งบ้างนิดหน่อยหากต้องออกงานสังคม
ข่าวเด่น