ก้าวแห่งความ “มั่งคั่ง” และ “ยั่งยืน”
มีคำกล่าวว่า การเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่การรักษาแชมป์นั้นยากกว่า โดยในการรักษาตำแหน่ง “ผู้นำ” ในธุรกิจฟิล์มกรองแสงในประเทศไทย และสมญา “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” ของลามิน่า คุณจันทร์ลงความเห็นว่า “การจะรักษาตำแหน่งไว้ได้ยาวนานแค่ไหนก็อยู่ที่ตัวเรา คือเราต้องไม่ประมาท ต้องเดินหน้าตลอดเวลา”
ยิ่งการแข่งขันทางธุรกิจในยุคโลกาภิวัติรุนแรงมาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกา ทำให้ทุนข้ามชาติหันมามองเอเชียมากขึ้น ตลอดจนการเปิดประชาคมอาเซียน (AEC) ทำให้คุณจันทร์มองว่าต้องเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทให้มากขึ้น เพราะต่อไปคงไม่อาจแข่งแค่ในประเทศได้แล้ว พร้อมกับเผยถึงแผนขยายธุรกิจสู่ตลาดอินโดจีน
“เราก็วางแผนจะหาพาร์ทเนอร์ที่มีความชำนาญตลาดในต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนทำธุรกิจมาก่อนก็ได้ ขอให้มีความรอบรู้ในตลาดนั้นๆ”
นอกเหนือจากการขยายพรมแดนตลาด คุณจันทร์ยังขยายวิสัยทัศน์ของบริษัท จากการเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิล์มกรองแสง” มาสู่วิสัยทัศน์ในการเป็น “ผู้จัดจำหน่ายมืออาชีพ” บนหลักการเดิมคือ “เทคโนเซลล์” หรือก็คือ การขายสินค้าที่มีเทคโนโลยีที่เป็นที่ยอมรับและเป็นชั้นนำของโลก
นี่เป็นที่มาของการจัดจำหน่าย “ธูเร่” แบรนด์อุปกรณ์บรรทุกสัมภาระจากประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกในธุรกิจนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ ซึ่งเป็นปีแรกอยู่ที่ 12 ล้านบาท
สำหรับยอดขายฟิล์มปีที่ผ่านมา บริษัททำได้ 560 ล้านบาท ไม่ถึงเป้า 600 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม ส่วนปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 640 ล้านบาท แต่คุณจันทร์เชื่อมั่นว่า หากเหตุการณ์บ้านเมืองและภัยพิบัติไม่รุนแรง ยอดขายจะทะลุเป้าไปถึง 700 ล้านบาท
นอกจากนี้ ความสำเร็จยังอาจวัดได้จากทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาทเมื่อ 18 ปีก่อน เป็น 5 ล้านบาทเมื่อไม่นานมานี้ จากพนักงานเพียง 8 คนในวันแรก มาเป็น 86 คนในวันนี้ หรือจากขนาดออฟฟิศที่เคยมีพื้นที่แค่ตึกแถว 1 ชั้น ขยายสู่อาคารใหญ่ริมถนนตลิ่งชัน-บางบัวทอง พื้นที่ราว 2,000 ตร.ม. ซึ่งมีทั้งคลังสินค้า และลานกีฬา เป็นของตัวเอง
คุณจันทร์เปิดเผยเคล็ดไม่ลับแห่งความสำเร็จว่า “มันมีหลายอย่าง ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ความมุ่งมั่น การพัฒนาตัวเอง การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการไม่เอาเปรียบคน นอกจากนี้ยังต้องมีคุณธรรมประจำใจอย่าง ความกตัญญูรู้คุณ ความซื่อสัตย์สุจริต และความรับผิดชอบ เป็นพื้นฐาน สุดท้าย เรายังยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วย”
ไม่เพียงมุ่งมั่นในธุรกิจติดฟิล์มให้กับรถ คุณจันทร์ยังมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะ “ติดฟิล์มให้โลก” ผ่านหลากหลายโครงการเพื่อสังคม โดยเฉพาะทางด้านสิ่งแวดล้อมและการศึกษา ซึ่งเธอให้ความสำคัญและทำมาอย่างต่อเนื่อง
แม้จะห่างวัยเกษียณอยู่หลายปี แต่ในวัย 47 ปี คุณจันทร์เริ่มตระหนักถึงการวางเป้าหมายระยะยาวเพื่อนำไปสู่การสร้างระบบงานที่ดี ที่จะทำให้การบริหารงานไม่ต้องพึ่งกับตัวบุคคลและมีมาตรฐานทัดเทียมสากล พร้อมกับการมองหาบุคคลที่จะมาสืบทอดทางธุรกิจ เพื่อนำพาธุรกิจไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่องอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน และสืบสานกิจกรรมตอบแทนสังคมให้เดินหน้าไปอย่างยาวนาน
ชีวิตในฝันหลังวัยเกษียณ
“ตอนเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ คิดว่าอยากเกษียณตอนอายุ 45 ปี แต่ตอนนี้ถ้าเกษียณตอน 50 ปีก็ยังถือว่าเร็วมาก ก็ขยับไปสัก 55 ปี หลังเกษียณก็อยากทำงานเล็กๆ น้อยๆ จะได้มีเวลาดูแลคนในครอบครัว ถ้าใครให้ไปบรรยายที่ไหนก็จะไปเพื่อเป็นวิทยาทาน และก็ทำกิจกรรมหลายอย่างที่ตัวเองอยากทำแต่ยังไม่มีเวลา”
กิจกรรมที่สาวแกร่งอย่างคุณจันทร์หมายถึง ได้แก่ ท่องเที่ยว เล่นกีฬา เล่นกีตาร์ เรียนทำอาหาร และการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่โปรดปราน เป็นต้น
นับเป็นเวลาร่วม 18 ปีตั้งแต่เริ่มสร้างธุรกิจส่วนตัว คุณจันทร์ยอมรับว่า สมัยก่อน ความต้องการพื้นฐานของเธอคือ การมีเงินทองเพื่อจะได้ดูแลความจำเป็นขั้นพื้นฐานให้กับตัวเองและคนที่รักได้ แต่เมื่อผ่านชีวิตมาจนวันนี้ เธอประจักษ์แล้วว่า เงินไม่ได้ตอบโจทย์ความสุขในชีวิตเสมอไป
“ความสุขในชีวิตคือ ได้ทำในสิ่งที่รัก ได้อยู่กับคนที่รัก ได้มีสุขภาพร่างกายที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีเงินทองใช้จ่ายตามสมควร แค่พอดูแลบุคคลในครอบครัวได้อย่างไม่ลำบาก นี่เป็นความสุขพื้นฐาน แต่ก็ถือเป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบในชีวิตมนุษย์แล้ว”
แม่ทัพหญิงแห่ง “ลามิน่า” ทิ้งท้าย
ข่าวเด่น