เพทายเด่นเห็นเป็นสง่า ศศมณฑ์ สงวนสิน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทสินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 ศศมณฑ์ สงวนสิน

หญิงมากความสามารถ กับชีวิตที่ลงตัว
 
 
ฤดูฝนปีนี้มาเร็วกว่าปกติ
เป็นผลทำให้ทั่วทั้งเมืองชุ่มฉ่ำกันทั่วหน้า 
การมาของฝนอาจจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ
อาจเป็นตัวบ่งบอกถึงการเกิดใหม่สรรพสิ่ง
แต่ฝนก็คือวัตถุชนิดเดียวที่สามารถปรับตัวได้ตามภาชนะที่รองรับได้ดีที่สุด
เปรียบดังเช่นชีวิตของคนเราถ้าสามารถปรับตัวได้ตามสภาวการณ์ที่มาถึง
ก็ย่อมทำให้เราสามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่างได้โดยไม่ยาก
และถ้าหากว่าน้ำนั้นคือชีวิต 
น้ำฝนก็คือสายธารแห่งสรวงสวรรค์ที่ไหลหลั่งมาพลิกฟ้าเติมใจให้เต็มหัวใจนั่นเอง
 
บ่ายแก่ๆของวันที่ฝนทำท่าจะตั้งเค้า 
เรามีนัดกับคุณศศมณฑ์ สงวนสิน
รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทสินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ถึงแม้เราจะมาตรงเวลาแต่คุณหญิง ศศมณฑ์ก็มานั่งรอเราอยู่ก่อนแล้ว
ด้วยรอยยิ้มที่ตาเป็นประกายของคุณหญิง ทำให้อากาศขมุกขมัวรอบๆดูสดใสขึ้นมาถนัดตา
"สวัสดีค่ะ" คุณหญิงทักทายกับเราด้วยความเป็นกันเอง
ถ้าจะให้เราจำกัดความหรืออธิบายความเป็นสุภาพสตรีที่เพียบพร้อมของคุณหญิง
ไม่ว่าจะเป็นแม่ศรีเรือน ประจำปี 2552, นักธุรกิจสตรีดีเด่นของสโมสรซอนต้าสากล
หรืออีกหลายคำยกย่อง ซึ่งต้องใช้เนื้อที่อีกซักย่อหน้าใหญ่ๆแน่ๆ 

"ตอนนี้คุณหญิงทำอะไรอยู่บ้างคะ" เราถาม
"ถ้าหลักๆเลยก็คือตอนนี้หญิงเป็นรองประธานกรรมการบริหาร บริษัทสินทรัพย์ประกันภัย จำกัด ค่ะ 
 แล้วก็เพิ่งจะเริ่มธุรกิจส่วนตัวขึ้นมานั้นคือ ศูนย์ดูแลสุขภาพและรูปร่างแบบองค์รวมชื่อเฟอร์เฟกสลิมค่ะ"
 
 
"เพราะว่างานกับชีวิตเป็นสองสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน 
  ตอนนี้หญิงก็เลย ตัวอยู่สินทรัพย์ประกันภัย แต่ใจอยู่เพอร์เฟกสลิมค่ะ" 
  คุณหญิงเล่าให้เราฟังด้วยน้ำเสียงที่เบิกบาน

 จากหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทนุถนอมแทบจะเรียกว่าไข่ในหินก็ไม่ปาน
 มาวันนี้คุณหญิงเป็นสุภาพสตรีเพียงไม่กี่คนของประเทศที่ประสบความสำเร็จทางหน้าที่การงาน
 และมีชีวิตครอบครัวที่น่ารัก เรียกว่าสามารถบาลานซ์ชีวิตได้อย่างลงตัวจนใครๆก็ต่างอิจฉาไปตามๆกัน

คุณหญิงเล่าให้เราฟังว่า
"เรียนหนังสือที่โรงเรียนเซ็นต์ฟรังส์ซิสซาเวียร์ ตอนเด็กอยากเป็นหมอมาก
เป็นหมอผ่าตัดด้วย เรียนมาทางสายวิทย์
เอนทรานต์ติดที่มหาวิทยาลัยเกษตร ในคณะวิทยาศาสตร์
แต่ก็รู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้เก่งทุกวิชา เลยตั้งใจว่าจะเรียนวิทยาศาสตร์ไปก่อน แล้วค่อยๆเรียนต่อหมอทีหลัง"

คุณหญิงเล่าต่อว่า
"จริงๆแล้วหญิงเรียนเอแบคควบกันไปในตอนนั้นด้วยนะคะ
เพราะว่าคุณพ่ออยากให้เรียนเอแบค หญิงก็เลยเรียนสองแห่งควบคู่กันไปในตอนนั้น
เพราะว่าคุณพ่ออยากให้ทำการค้า ไม่อยากให้เป็นคุณหมอ
แต่ว่าตัวของหญิงเองนั้นชอบวิทยาศาสตร์ คุณพ่อถึงกับเอารถเก๋งซีวิคเข้ามาล่อ
แล้วบอกว่าถ้าเรียนเอแบค ก็จะได้ขับคันนี้ไปเรียนนะ
แต่ถ้ายังตัดสินใจที่ยังจะเรียนสองที่อยู่ก็ขึ้นรถเมลล์ไปเรียนละกัน"
แล้วผลเป็นยังไงคะ คุณหญิงเลือกแบบไหนคะ

"หญิงเลือกนั่งรถเมลล์ค่ะ"
คุณหญิงหัวเราะเมื่อเราทำหน้าไม่เชื่อแกมฉงน

"จริงๆค่ะ หญิงเลือกเรียนที่เกษตรด้วย
ซึ่งทำให้เวลาไปเรียนก็ต้องเปลี่ยนชุด แต่งองค์ทรงเครื่องเสียใหม่ ทั้งเข็มขัด กระดุม รองเท้าต้องเปลี่ยนหมด
หญิงต้องนั่งสองแถวจากบ้านที่สุทธิสารมาลงที่ปากซอย แล้วก็นั่งรถเมล์ต่อไปเกษตร
พอเรียนจากเกษตรเสร็จก็นั่งรถเมลล์อีกสองต่อไปลงรามคำแหง 
จากหน้ารามก็ก็ต้องรถสี่ล้อเล็กเข้าไปเรียนที่เอแบค"

แล้วทำอย่างนี้นานไหมคะ"เราถาม
 
"หญิงทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่ย่อท้อ จนในที่สุดเรียนกันได้ไปเทอมนึงค่ะ
 ก็ต้องถึงเวลาที่เราต้องเลือกว่าจะเรียนที่ไหน
เพราะว่าเวลาสอบของทั้งสองที่ตรงกัน สุดท้ายหญิงคุยกับคุณพ่อ
...คุณพ่อบอกว่า เกิดมาไม่เคยขออะไรหญิงเลย แล้วก็จะไม่ขออะไรอีกแล้ว
ขออย่างเดียวให้เรียนที่เอแบคได้มั้ย  ตอนนั้นหญิงร้องไห้ทุกวัน
เพราะว่าไม่อยากจะทิ้งที่เกษตรไป แต่แล้วในที่สุดหญิงก็เลือกที่จะเรียนที่เอแบคตามที่คุณพ่อขอ"
 
 
ในที่สุดฮอนด้าซีวิคสีขาวก็ตกอยู่ในกำมือของคุณหญิงจนได้
คุณหญิงเล่าให้เราฟังว่า
"จริงๆแล้วหญิงช่วยคุณพ่อทำงานมาตั้งแต่ป.5 นะคะ
คุณพ่อหญิงรับเหมาก่อสร้าง เป็น Sub Contract จากโครงการใหญ่
คุณพ่อก็จะให้หญิงช่วยคิดเงินค่าแรงให้พนักงาน หญิงคำนวนค่าแรงค่าใช้จ่ายของคนงานเก่งมาก
หญิงคิดราคาเป็น ดูแลโครงการได้ว่าต้องทำอะไรตรงไหนบ้าง
ลูกบิด หน้าต่าง ประตู รายละเอียดพวกนี้ หญิงสามารถคำนวนตัวเลขออกมาได้หมด
ตรงนี้เท่าไหร่ ใช้คนงานกี่คน ค่าของเท่าไหร่ ค่าแรงเท่าไหร่
คุณพ่อคงเห็นแวว เพราะว่าหญิงไปไหนกับคุณพ่อตลอดน่ะค่ะ
คุณพ่อบอกหญิงว่า “ ป๊าเชื่อว่าหญิงต้องทำตรงนี้ได้ดีกว่าเป็นหมอแน่นอน
หญิงไปเป็นหมอป๊าก็ห่วงอีก"

"อย่างนี้ต้องเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านแน่เลย"  เราถามด้วยความมั่นใจ
"ไม่ใช่ค่ะ หญิงเป็นลูกสาวคนโต หญิงมีพี่น้องห้าคน เป็นชายเพียงคนเดียว
อย่างนี้ไม่น่าจะหวงมากเลยนะคะ  แต่คุณพ่อหวงมาก"  คุณหญิงกล่าวยิ้มๆ

สมัยที่คุณหญิงเรียนที่อยู่เซนฟรังส์ฯ ก็เป็นที่ลือเลื่อง
เพราะว่าคุณหญิงเป็นเด็กกิจกรรม ถือป้าย เป็นดรัมเมเยอร์
หรือว่าต้องอยู่เย็นซ้อมเชียร์ รวมทั้งเป็นนักกีฬา หญิงก็มีส่วนร่วมหมด
 
"คุณพ่อจะไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีจดหมาขขออนุญาตไปจากครูใหญ่ จะไม่อนุญาตเลย
หญิงก็เคยถามนะคะว่า ทำไม คุณพ่อบอกว่าไม่อยากให้ออกไปวันเสาร์ อาทิตย์อีก
รายงานต้องทำไปทำไม สมัยพ่อไม่เห็นมีเลย
ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ให้เรียกเพื่อนมาที่บ้านซิ ออกไปทำไม"

"ยิ่งจะเข้าค่ายเนตรนารีนี่สาหัส หญิงต้องร้องไห้ทุกครั้ง
คุณครูต้องเขียนจดหมายมาขออนุญาตจากคุณพ่อ
เชื่อไหมว่าตั้งแต่เรียนจนจบเอแบคหญิงไม่เคยได้ไปนอนค้างบ้านใครเลย"

อย่าว่าแต่ค้างเลย คุณพ่อคุณหญิงเป็นห่วงลูกสาวสุดที่รัก
ถึงกับไปนั่งเฝ้าลูกสาวทำรายงานที่บ้านเพื่อน....จนสว่างคาตามาแล้ว
"ใช่ค่ะ ตอนนั้นเรียนอยู่เอแบคปีสามแล้วนะคะ
มีเหตุที่ต้องไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน
คุณพ่อหญิงก็ไปด้วย ไปนั่งเฝ้าอยู่หน้าบ้าน
มิวายที่เพื่อนๆจะบอกว่าคุณพ่อขากลับเถอะ เดี๋ยวพวกหนูดูแลหญิงเอง"

"แล้วคุณพ่อตอบว่าอย่างไรคะ" เราถาม

"คุณพ่อบอกว่าไม่เป็นไรไหนๆก็มาแล้ว
อีกไม่นานก็เช้าแล้ว พ่อรอได้"

"คุณหญิงเรียนที่เอแบคคณะอะไรคะ"
"หญิงเรียนที่เอแบค คณะบริหารธุรกิจค่ะ สองเมเจอร์เลยคือ inter business กับ finance
ตอนนั้นเป็นเมเจอร์เปิดใหม่ เลยเข้าไปเป็นฐานให้นักศึกษาต่างชาติ
เพราะว่าเขาตัดcurve ที่ 85 คะแนน ทางกระทรวงฯบอกว่าคนที่ได้เอควรมีได้แค่10%ของห้อง
ได้ 90 นี่ยังไมได้เอเลย  ต้อง98 99 อย่างน้อยก็ต้อง95ขึ้นไปน่ะค่ะ
เทอมแรกของหญิงที่เอแบคเลยคะแนนไม่ดี เพราะว่าต้องเรียนที่เกษตรด้วย
จากนั้นพอได้มาเรียนที่เอแบคที่เดียวแบบจริงๆจัง หญิงค่อยตีตื้นขึ้นมาหน่อย
จนจบที่เอแบคด้วยเกรด3.1 ซึ่งพอดีในช่วงที่หญิงอยู่ปี4ทางทิสโก้ได้เข้ามารับสมัครที่เอแบค
หญิงเลยเป็นคนแรกของรุ่นที่ได้รับเข้าทำงาน ทั้งๆที่ยังไม่จบเลยนะคะในตอนนั้น"
 
 
จากนั้นคุณหญิงก็เข้าทำงานที่ทิสโก้เลยโดยเข้าไปทำที่แผนกสินเชื่อ
แต่ก่อนที่จะทำงานจริงๆ ก็ได้มีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศไต้หวันเป็นเวลาสั้นๆสามอาทิตย์

"ก็ไม่ได้พูดเก่งนะคะ แต่อาศัยความกล้าเป็นหลัก
จริงๆตอนเด็กก็ให้ครูมาสอนที่บ้านเหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นยังเด็กอยู่มั่งคะไม่สนใจ ไม่เรียน จะเล่นเกมส์
จนครูต้องมาขอลาออกกับคุณแม่ว่าผมยังอยากแก่ตายนะ ไม่อยากกลุ้มใจตาย เลยขอลาออก
ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้หญิงยังรู้สึกผิดอยู่ว่าไม่น่าจะไปดื้อแบบนั้นเลย
ทั้งๆที่ตอนนั้นพอที่จะอ่านออกเขียนได้บ้างแล้ว เสียใจเหมือนกันค่ะ "

"หญิงทำงานที่ทิสโก้ในแผนกสินเชื่อ อยู่ที่นั่น5ปี สุดท้ายได้รับตำแหน่งผุ้จัดการฝ่ายสินเชื่อ
แล้วก็ลาออกไปช่วยงานคุณสมนึกค่ะ"

คุณสมนึกที่คุณหญิงกล่าวถึงก็คือ คุณสมนึก สงวนสิน ประธานกรรมการบริหารบริษัทสินทรัพย์ประกันภัย
ซึ่งก็คือสามีของคุณหญิงนั่นเอง

"กับคุณสมนึกนี่เขาเป็นลูกค้าที่ทิสโก้นะคะ เขามาจีบหญิง แต่หญิงไม่ชอบเลยตอนแรก
คิดว่าเค้าจะมาหลอกเราหรือเปล่าน่ะ คือเราเป็นเด็กด้วยไงคะ"

"คุณหญิงกับคุณสมนึกอายุห่างกันมากไหมคะ"

"13 ปี พอดีเป๊ะค่ะ" คุณหญิงตอบเรา

" หญิงพยายามปฏิเสธทุกช่องทาง
ตอนนั้นหญิงทำงานที่ทิสโก้ได้พักนึงแล้วนะคะถึงได้มาเจอเขา
คุณสมนึกเขาติดต่อมาทางทิสโก้บอกว่าให้เราเข้าไปหา ให้เข้าไปเสนองาน
คือตอนนั้นเค้าทำ Real Estate เป็นหลัก เลยทำเป็นว่าจะมาขอกู้เงินที่ทิสโก้
แล้วก็พอดีพี่สาวคุณสมนึกเป็นผู้บริหารที่ทิสโก้ในยุคแรกๆ ที่จบมาจากสหรัฐอเมริกา
เจ้านายของหญิงจึงรู้จักดีกับพี่สาวของคุณสมนึก เขาเลยมาเล่าให้ฟังว่าคุณสมนึกเป็นคนดีนะ"

"ไม่มีซี้ซั้ว ไม่หลอกใคร ไม่เกเร พี่การันตี  "
"หญิงก็ส่ายหน้าอย่างเดียว ไม่เอาค่ะ ไม่เอา "
กลยุทธ์การจีบตอนนั้นมีหลายรูปแบบมาก
นั่งเฝ้าที่ทำงาน ตามไปที่บ้านจะเข้าไปหาคุณพ่อคุณแม่ของหญิง
เราก็ตัดทุกอย่าง  ส่งดอกไม้มาให้วางไว้ตรงโน้น บางทีก็โยนลงถังขยะไปเลย
ทุกคนจะรู้หมด แรกๆหญิงก็ไม่รู้นะคะ มารุ้ตอนหลังคือวงเงินขอคุณสมนึกที่กู้เนี่ยผ่านแล้ว
แต่คุณสมนึกยังไม่มาเบิกไปเลย "

ทางฟันด์ดิ้งก็โทรมาถามว่า"ทำไมคุณสมนึกไม่มาเบิกเงินไปใช้ซักที วงเงินที่ขอไป 65 ล้านบาทผ่านแล้ว แต่ทำไมยังนิ่งมาก"

"65 ล้านบาทเมื่อยี่สิบปีที่แล้วมันเยอะมากนะคะ
"หญิงก็เลยโทรไปหาคุณสมนึก
"บอกคุณสมนึกขาช่วยมาเบิกเงินหน่อย"
แทนที่คนกู้จะมาง้อเรา ธนาคารกลับต้องไปง้อลูกค้าว่าช่วยมาเอาเงินไปใช้หน่อยเถอะ
"เขาเครดิตดีไงคะ วงเงินกู้ผ่านได้ไม่ยาก"

คุณสมนึกก็บอกว่า "คุณจะมาทานข้าวกลับผมหรือยังล่ะ"
หญิงก็ตอบไปว่า"หญิงไม่ว่างเลยค่ะ หญิงไม่ไปทานหรอกค่ะ"
จนเขามาเข้าทางเพื่อน หลอกหญิงไปทานข้าวได้ครั้งนึง
ยังจำได้ว่าที่ร้านอาหารบนริเวอร์ ซิตี้ แล้วเราก็พยายามหนีเขาตลอด


จนกระทั่งหญิงลาพักร้อน เพราะหญิงตั้งใจจะไปเรียนปริญญาโท ที่อเมริกา
เลยลาพักร้อนแล้วตั้งใจว่าจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวด้วย เพราะว่าท่านไม่เคยไป
หญิงเลยบอกว่าเมื่อหญิงเลือกมาทำงานทางนี้แล้ว หญิงก็ต้องการจะไปให้ถึงที่สุด เรียนให้ได้ดี
ที่ผ่านมาเราก็รู้ว่าอยู่ในกรงทองของที่บ้านมาตลอด เขาจะเป็นห่วงมาก
เลยอยากจะพาเขาไป ให้เขาเห็นว่าถ้าไปเรียนแล้วหญิงจะอยู่ยังไง จะเรียนยังไง

หญิงตั้งใจว่าจะไปเรียนที่ซีแอทเติ้ลคะ

"พอจะลาพักร้อน หญิงก็ต้องทำจดหมายถึงลูกค้าทุกท่าน ให้ทราบว่าจะไปไหน กลับเมื่อไหร่
ระหว่างที่ไม่อยู่สามารถติดต่อใครได้ อะไรประมาณนี้"

พอคุณสมนึกทราบว่าหญิงจะพักร้อนสามอาทิตย์ ก็ตื่นเต้นใหญ่

"บอกคุณหญิงจะไปอเมริกาเหรอ ผมมีบ้านอยู่ที่แอลเอนะครับ
ไปพักที่โน่นได้ เดี๋ยวผมจัดการให้ไม่ต้องเกรงใจ"

หญิงก็บอก"ไม่เป็นไร เพราะว่าหญิงจะไปอยู่ที่แอลเอคืนเดียวเองจากนั้นก็ขึ้นไปซีแอตเติ้ลเลย
แล้วก่อนเข้าอเมริกาก็จะไปแวะหาคุณน้าที่ญี่ปุ่น เพราะคุณน้าอยู่ที่นั้นมา30 ปีแล้ว ยังไม่เคยกลับไทยเลย
เขาก็ถามว่าหญิงจะอยู่ยังไง จะกินยังไง เดินทางไปเมืองไหนบ้าง อยู่กี่วัน"

"ถามซักอย่างละเอียดยิบเลยนะคะ
พอเดินทางมาถึงญี่ปุ่นก็โทรมาถามอีกว่าถึงไหนแล้ว อยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง
แล้วพอดีคุณแม่หญิงอยากอยู่ต่ออีกสามวันด้วยไงคะ อยากอยู่คุยกับคุณน้า
กำหนดการของหญิงเลยเลื่อนไปอีก เขาก็เฝ้าเพียรโทรมาถามว่าจะมาแอลเอเมื่อไหร่ พักที่ไหน
หญิงก็เฮ้อ.. "

ทีนี้พอมาถึงแอลเอ ทางหญิงก็ตั้งใจว่าจะนอนคืนเดียวแล้วตอนเช้าก็ไปซีแอทเติ้ลเลย
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงหญิงไปทั้งชีวิต

"ตอนที่หญิงพาคุณพ่อคุณแม่ลงมาจากห้องเพื่อจะเช๊กเอาท์ไปซีแอทเติ้ล
จำได้แม่นว่าเป็นเวลาประมาณบ่ายสอง พอหญิงเคลียร์อะไรเสร็จ
หญิงก็ไปพาคุณพ่อคุณแม่ลงมา"
 
"เชื่อไหมคะพอลิฟท์ลงมาถึงที่ล็อบบี้ เปิดประตูปุ๊ป
สิ่งที่หญิงเห็นก็คือเห็นคุณสมนึกยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น
ตกใจค่ะ ตกใจมาก หญิงใจสั่นไปหมด กลัวโดนดุ นึกในใจว่าเดี๋ยวต้องโดนแน่ๆเลยเรา
พาผู้ชายมาเที่ยวที่อเมริกา"
คุณหญิงเล่าให้เราฟังด้วยเสียงวิตก

"หญิงก็เลยกดลิฟท์ขึ้นไปห้องบนใหม่ พอคุณสมนึกเห็นก็เอามือมากั้นประตูไว้ไม่ให้ลิฟท์ปิด
คุณพ่อหญิงก็งง ถามหญิงว่าอะไรเหรอ ทำไมไม่ให้เขาขึ้นมา
หญิงก็พาคุณพ่อคุณแม่กลับขึ้นไปข้างบน
แล้วก็ตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้คุณพ่อฟัง บอกว่าป๊าใจเย็นๆนะ
แล้วก็เล่าตั้งแต่ต้นจนมาถึงวันนี้"

พอเล่าจบคุณพ่อก็บอกว่า
"ไม่เป็นไรเขามาแบบผู้ใหญ่
หญิงยิ่งทำแบบนี้ป๊าก็ต้องลงไปเจอกับเขานะ"
ทีนี้พอหญิงลงมาก็เห็นว่ามีเด็กวัยรุ่นนั่งอยู่ที่ล็อบบี้กลุ่มนึง
จากนั้นมาทราบทีหลังว่าเป็นหลานๆของคุณสมนึก
คุณสมนึกให้มาเฝ้าหญิงที่โรงแรม เพราะว่าคุณสมนึกเครื่องดีเลย์
ทำให้ช้าไปแปดชั่วโมง ซึ่งคุณสมนึกกลัวมาก
กลัวว่าจะมาไม่ทันหญิง เพราะเขาก็ไม่ทราบว่าจากแอลเอแล้วหญิงจะไปอยู่ตรงไหน
คุณหญิงเล่าต่อว่า

"ทีนี้พอลงมาที่ล๊อบบี้แล้วคุณสมนึกก็เดินเข้ามาสวัสดีคุณพ่อ
ขอคุยส่วนตัวเลย คุณสมนึกเข้ามาแนะนำตัวเอง
แล้วก็บอกคุณพ่อว่าผมชอบลูกสาวคุณพ่อครับ"
คุณพ่อเลยถามว่า"แล้วคุณจะเอายังไง"
คุณสมนึกตอบว่า ผมแค่อยากจะดูแลคุณหญิงครับ ที่แอลเอนี่อันตราย
แล้วเขาก็ถามว่าจากนี้หญิงมีโปรแกรมจะไปที่ไหนบ้าง
หญิงก็บอกว่าไม่มีโปรแกรม
งั้นอยู่เที่ยวแอลเอกันก่อนดีไหมครับ คุณสมนึกชวน
"ผมขออนุญาตพาคุณพ่อเที่ยวก่อน"
ตอนนั้นคุณสมนึกพูดยังไงไม่ทราบ คุณพ่อก็ตกลง

คุณพ่อเดินมาหาหญิงแล้วบอกว่า
"หญิง ป๊าเป็นผู้ใหญ่ ป๊าคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดี
ไม่เป็นไรหรอก เขาตามมาขนาดนี้ เขาเป็นคนดี มีกิจการดี มีชาติตระกูลดี
ถ้าเขากล้าเข้ามาคุยกับป๊าขนาดนี้ เขารับรองด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย
ถ้าเราจะมีคนดูแล ก็ไม่เป็นไรนี่ มีเพื่อนร่วมทางไปอีกคน "
 
 
 
คุณหญิงเล่าให้เราด้วยตาเป็นประกายเหมือนเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านมาไม่นาน
แล้วคุณสมนึกก็เปรียบเสมือนหนึ่งในครอบครัวของหญิง
ติดสอยห้อยตามคุณพ่อ คุณแม่หญิงไปตลอดทั้งทริป 
ยกกระเป๋าให้ พาไปนู่น ไปนี่ เทคแคร์สารพัด

"คุณสมนึกให้หลานเช่ารถตู้คันนึงแล้วก็ขับพาเราเที่ยวค่ะ
ค่ำไหนนอนนั่น จอดรถหาโรงแรมที่พักกันเป็นที่สนุกสนาน
จากนั้นพอกลับมาเมืองไทยคราวนี้หญิงก็ไปไหนไม่รอด
ตกลงคบกันเป็นแฟนกับคุณสมนึกในที่สุด 

"ทีนี้พอกลับมาไทยหญิงก็เริ่มคบเป็นแฟนกับคุณสมนึก
จากวันนั้นมาดอกไม้ก็เริ่มน้อยลง เหลือแค่ช่อเดียว
ทุกคนในแผนกก็เริ่มสงสัยว่าหญิงต้องมีแฟนแล้วแน่ๆเลย
แต่ก่อนดอกไม้มากี่ช่อๆก็ยกให้คนอื่นหมด แต่ตอนนี้มีมาแค่ช่อเดียวแถมยังเอากลับบ้านอีก
แต่ก่อนนั่งทำงานถึงสี่ทุ่มห้าทุ่ม แต่เดี๋ยวนี้พอห้าโมงเย็นก็เก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านแล้ว
พี่ๆเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของหญิง เลยให้น้องที่แผนกคนนึงสะกดรอยตาม
ขับรถตามหญิงไป เพราะเขารู้ว่ามีชายหนุ่มมารับ แต่อยากรู้ว่าเป็นใคร

จนวันหนึ่งในขณะที่หญิงเดินจูงมือกับคุณสมนึกอยู่ที่ริเวอร์ซิตี้ 
ไอ้น้องคนนี้ก็เดินเข้ามาตรงหน้า ยกมือไหว้สวัสดีแล้วพูดว่า
"สวัสดีครับพี่ ผมเป็นรุ่นน้องพี่หญิงที่ทิสโก้ครับ พี่ๆที่แผนกอยากทราบว่าพี่ชื่ออะไรครับ"
พอดีหญิงตกลงกับคุณสมนึกก่อนแล้วว่า หญิงอายพี่ที่ทำงาน อย่าเพิ่งบอกใครได้ไหม 
คุณสมนึกเลยตอบไปว่า"ผมชื่อหลีครับ"
ไอ้น้องคนนั้นก็ดีใจมากที่ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ
ก็เลยยกมือไหว้บอก"ขอบคุณครับ งั้นผมไปนะครับ"
แล้วเขาก็ไปดื้อๆแบบที่โผล่มานั่นแหละค่ะ
วันรุ่งขึ้นหญิงไปทำงานพี่ๆเค้าก็เลยรุมถามกันใหญ่
มีแฟนแล้วทำไมไม่บอก แล้วคุณหลีนี่เป็นใครเหรอ 
หญิงก็คิดในใจว่าเขายังไม่รู้นี่นาว่าคุณหลีกับคุณสมนึกเป็นคนๆเดียวกัน
หญิงก็เลยตอบไปว่า"หญิงอายน่ะค่ะพี่ แล้ววันหลังหญิงจะแนะนำให้รู้จักนะคะ"
 
 
เวลาผ่านมาสามเดือนหญิงก็มาคิดว่าคุณสมนึกเขาก็ไมได้ทำอะไรผิด
เราควรให้เกียรติเขา เพราะว่าเวลามารับคุณสมนึกก็ต้องรอในรถ
ใครเดินผ่านก็ต้องหลบที่เสา ที่มุมตึกอะไรแบบนี้ หญิงสงสารเขาน่ะค่ะ
ก็เลยตัดสินใจเปิดตัว นัดให้คุณสมนึกแวะมาทานข้าวกลางวันที่ออฟฟิค
วันที่คุณสมนึกเดินเข้ามาทุกคนตกใจ อ้าปากค้าง
เพื่อนหญิงบอกว่า "แกรถไฟชนกันแล้วงานนี้" หญิงก็ยิ้มๆไม่พูดอะไร

เสร็จแล้วก็เดินไปหาคุณสมนึกแล้วก็แนะนำทุกคนว่า "พี่ๆคะ หญิงขอแนะนำให้รู้จักคุณหลีค่ะ"
ทุกคนก็อ้าปากค้างเป็นรอบที่สอง ปรบมือดีใจกันทั้งแผนก
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็ยี่สิบปีแล้วค่ะ 

พอหญิงทำงานที่ทิสโก้ได้ประมาณ 5 ปี ก็ลาออกมาช่วยคุณสมนึก
มาช่วยดูทางด้านเรียล เอสเตท เพราะว่าคุณสมนึกมีบริษัทอยู่ชื่อ ร่มรื่น เรียล เอสเตท น่ะคะ
เพราะว่าตอนที่หญิงอยู่ที่ทิสโก้หญิงจะทำเรื่องสินเชื่อเคหะอยู่แล้ว
จากนั้นก็ไปช่วยดูที่ฮอนด้าเพราะว่าคุณสมนึกมีโชว์รูมออนด้าอยู่ที่ปิ่นเกล้า
หญิงก็เข้าไปดูเรื่องการบริการ จัดซื้อ ฝ่ายบุคคล เรียกว่าเข้าไปเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อสร้างการยอมรับน่ะค่ะ

จากนั้นหญิงกับคุณสมนึกก็มองกันว่าเรามีฮอนด้าอยู่แล้ว 
มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับการประกันรถให้ลูกค้า
จึงได้ซื้อหุ้นของสินทรัพย์ประกันภัยจากกลุ่มของคุณ พรเสก กาญจนจารี 
จากนั้นเราก็บริหารเองค่ะ ซึ่งเป็นการบริการแก่ลูกค้าแบบครบวงจรซึ่งลูกค้าพอใจมาก

แล้วคุณหญิงเริ่มสนใจธุรกิจด้านความงามตอนไหนคะ
"น้องสาวหญิงเข้ามาคุยน่ะคะบอกว่าเดี๋ยวนี้คนหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น
  ตัวหญิงก็สนใจอยู่แล้ว เลยไปคุยกับ unizen ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของที่เป็น มาสเตอร์แฟรนไชส์
  สุดท้ายก็ซื้อเขามาทำเองเลย แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น เฟอร์เฟก สลิมค่ะ"

"จุดเด่นของเพอร์เฟก สลิมคือเราเน้นทรีตเมนต์ เน้นการแก้ไขจากจุดเริ่มต้น
ปรับสมดุลร่างกาย เป็นทางเลือกใหม่ในการจัดกรอบรูปร่างพร้อมกับการบำบัดสุขภาพในรูปแบบ Holistic Slim
เราเป็นสถาบันดูแลรูปร่างและสุขภาพแบบองค์รวมที่ดูแลและใส่ใจทุกคนเป็นอย่างดี
เรามีโปรแกรมการเดรนของเสียและไขมันส่วนเกินออกจากระบบน้ำเหลืองและร่างกาย
เพื่อเพิ่มภาวะเผาผลาญไขมันส่วนเกินพร้อมเร่ง
มีกระบวนการขจัดของเสียสารพิษต่างๆออกจากร่างกายเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบน้ำเหลือง
บวมน้ำ หรือไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายและมีปัญหาไขมันสะสม เซลลูไลท์รวมทั้งปัญหาผิวเปลือกส้ม
ซึ่งในอีกสองเดือนข้างหน้าเราจะมีเครื่องมือตัวนึงที่ดีมาก


หญิงภูมิใจมากที่สามารถพูดได้ว่าเราเป็นเจ้าแรกของโลกที่ใช้ครื่องมือนี้ค่ะ"

"มันดียังไงคะ"

"ถ้าพูดสั้นๆคือเป็นตัวที่รวมเทคโนโลยีล่าสุดของโลกเข้าไว้ด้วยกันค่ะ
ดีมาก คุณสมนึกลองแล้วเอวลดเลย3เซนต์ หญิงเองน่องลดไป 2-3เซนต์
เราเองจะเน้นเรื่องสุขภาพมากกว่าที่จะทำให้คุณผอม เพราะถ้ามาที่นี่นอกจากจะได้สุขภาพที่ดีกลับไปแล้ว
และผลลัพท์ที่ได้คือมีร่างกายที่สวยงามอย่างที่คุณปรารถนานั่นเองค่ะ”
"มีกี่สาขาแล้วคะตอนนี้ "

"ตอนนี้เรามี ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาพระราม 2, เซ็นทรัลพลาซาพระราม 3,
เซ็นทรัลพลาซา บางนา, เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์พระราม 9, เซ็นทรัลเวิลด์,
ราชครู เมดิคัล เซนเตอร์, เดอะวอล์ค สาขาราชพฤกษ์, เซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต
และเตรียมพบกับสาขาเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า และเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ ในเร็วๆนี้ค่ะ"

นอกจากนั้น คุณหญิงมีรายการโทรท้ศน์ A Time 4 U ออกอากาศช่อง NBT
ทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.30 - 09.55 น.
พิธีกร ดร.สมนึก-คุณศศมณฑ์ สงวนสิน เป็นรายการแนะนำการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
เป็นรายการรูปแบบของครอบครัวหรรษาที่น่าสนใจมาก

"ใช่ค่ะ รายการของหญิงมี3ช่วงค่ะ คือ A time to go . A time to learn แล้วก็ A time to enjoy"

"ฟังดูสนุกนะคะ" เรากล่าวเสริม

"ไม่ค่ะ ต้องพูดว่าสนุกมากเหลือเกินค่ะ เพราะว่าหญิงได้พาลูกๆของหญิง
ไปเรียนรู้ มีประสบการณ์ในพื้นที่ต่างๆที่ไม่ซ้ำกันเลย
ซึ่งน้อยคนนักจะได้มีโอกาสแบบนี้ รายการนี้จะ5ปีแล้วนะคะ สถานที่ที่ไปไม่เคยซ้ำกันเลยค่ะ"
 
 
จากนั้นคุณญิงก็มีรายการอีกหลายรายการจนเบียดบังชีวิตของตนเองไปมากหลือเกิน
"หญิงมาเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่ตัวเราแล้ว งานอดิเรกแต่กลายเป็นงานหลัก
รายการมีอาทิตย์ละวันก็จริง แต่มีหลายรายการจนต้องอัดเทปทุกวัน"

จากคนที่ครอบครัวต้องมาก่อนเสมออย่างคุณหญิงจึงไม่ยากที่จะตัดสินใจ
เลิกทำรายการทั้งหมดเหลือไว้แค่ A time 4Uรายการเดียว

"เพราะว่าเป็นรายการที่หญิงสามารถใช้เวลาอยู่กับครอบครัว อยู่กับลูก
ได้สร้างความภูมิใจ ลูกๆได้เรียนรู้ในสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเขาค่ะ"

"คุณหญิงมีลูกกี่คนคะ"

"3คนค่ะ เป็นลูกผู้ชายสามใบเถาค่ะ
ตองหนึ่ง-ยศวิน และ อูโน่-สิริสรณ์ สงวนสิน สองคนนี้เรียนอยู่ที่ ISB International school of bangkok
เพราะว่าอยากให้เด็กๆ ได้ภาษาอังกฤษ การเรียนในโรงเรียนนานาชาติ
ทำให้ลูกๆ ต้องปรับตัวมากขึ้น เพราะมีเพื่อนหลายเชื้อชาติ จึงมีการผสมผสานของวัฒนธรรมที่หลากหลาย
สำหรับครอบครัวของหญิง จะเน้นการอบรมสั่งสอนให้รู้จักอ่อนน้อม
มีสัมมาคารวะ เพราะเด็กที่เข้าเรียนโรงเรียนอินเตอร์ อาจจะขาดตรงจุดนี้ไป
ที่บ้านก็จะปลูกฝังกับเด็กๆ เสมอ เจอผู้ใหญ่ต้องยกมือไหว้ค่ะ"

"ส่วนคนโตชื่อ.สิริน สงวนสิน หรือน้องลีค่ะ ตอนนี้เรียนอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียค่ะ"


"พี่น้องสามคนนี่ไม่เหมือนกันเลยค่ะ ตองหนึ่งจะเป็นแบบ ดูแล ปกป้อง เทคแคร์
อูโน จะเป็นคนช่างสังเกต เป็นขาบุ๋น มีบู๊นิดนึง
ส่วนพี่ลีก็จะเป็นแบบพี่น้องข้าใครอย่าแตะ ขาลุย"

คุณหญิงตาเป็นประกายเวลาพูดถึงลูกชายทั้งสาม
เพราะในมิติของความเป็นแม่  สำหรับคุณหญิงแล้วทุกๆวันคือวันลูกแห่งชาติ

" ถ้าวันไหนไม่มีงานตอนเย็น หญิงก็จะกลับมาบ้านมาอยู่กับลูก
พาลูกเข้านอน Good Night Kiss กันทุกคืน
แต่ถ้าจำเป็นต้องไปงานตอนเย็นจริงๆหญิงก็จะแวะมาบ้านก่อน
มาหาลูกแล้วค่อยออกไปงานอีกทีค่ะ

ฝนเริ่มตั้งเค้าเราได้ยินเสียงฟ้าร้องมาแต่ไกล
ก่อนจะจากกันวันนั้นคุณหญิงได้บอกกับเราว่า

"อยากให้เราให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อนอันดับแรก คุณพ่อ คุณแม่
การที่เราทำอะไรในกิจวัตรประจำวันต้องสวมหมวกหลายใบ อยากให้ทำดีที่สุดในทุกอย่างที่เราทำ
ไม่จำเป็นต้องดีเท่ากันหมด แต่ขอให้จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดี
และที่สำคัญอย่าลืมที่จะพูดคำว่า รัก ขอบคุณ คิดถึง และขอโทษให้ติดปาก
เพราะนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิจและครอบครัวดำเนินไปได้อย่างมีความสุข...ขอบคุณค่ะ"

มีสุภาษิตของอินเดียบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า เวลามองผู้หญิง ให้มองทะลุไปถึงความเป็นแม่
ถ้าเธอมีความเป็นแม่ในตัวนั่นแสดงว่า เธอมีคุณสมบัติความเป็นภรรยาของคุณได้ในอนาคต
ขณะเดียวกัน ผู้หญิงถ้ามองผู้ชาย ก็ต้องมองให้ทะลุไปถึงความเป็นพ่อที่มีในตัวของเขา
ถ้าคุณเห็นความเป็นพ่อที่มีอยู่ในตัวเขา
นั่นก็หมายความว่า เขาพร้อมแล้วที่จะมาเป็นสามีของคุณได้ในอนาคตเช่นเดียวกัน

บางครั้งในวัฒนธรรมอินเดียโบราณก็กล่าวว่า ผู้ชายและผู้หญิงที่แต่งงานกัน
ต่างกันเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันท่านใช้คำว่า "อรธางคินี"
(ผู้เป็นครึ่งหนึ่งของสามี, ครึ่งหนึ่งของภรรยาเสมอมา)
หมายความว่า ทั้งเธอและฉันต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
 
 
ด้วยเหตุนี้ ชีวิตคู่ของเรานั้นจึงมีสัดส่วนของอีกคนอยู่ครึ่งหนึ่งเสมอ
ด้วยวิธีคิดแบบนี้ เวลาภรรยาหรือสามีจะทำอะไรก็ตาม
ก็จะเกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกัน ก็จะเคารพ นับถือ ให้เกียรติไว้วางใจซึ่งกันและกัน
เปรียบดังเช่น เรื่องราวในชีวิตของคุณหญิง ศศมณฑ์
ชีวิตที่รู้จักการปรับตัว เข้าใจและเอาใจใส่ความรู้สึกของคนอื่นอยู่เสมอ
ทำให้ชีวิตที่สวยงามของคุณหญิงในวันนี้เป็นตัวอย่างที่ดี
และเป็นคุณค่าที่คู่ควรแก่การยกย่อง
ที่เราทุกคนปฎิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน
 

 


LastUpdate 10/03/2557 16:16:45 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 12:34 am