ชีวิตที่ตกผลึกของ ภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์

ชีวิตที่ตกผลึกของ
ภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์


ภาษิตฝรั่งว่า สำหรับผู้ชาย ชีวิตเพิ่งเริ่มต้นตอนอายุ 40 ปี แต่สำหรับหนุ่มใหญ่หน้าละอ่อนอย่าง “ภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์” ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมมาจนวัยวุฒิล่วงเข้า 50 ปี เขากำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตเยี่ยงคนที่ตกผลึกทางความคิดและ “ตกผลึกชีวิต” อย่างสมบูรณ์อยู่ในทุกวันนี้

ปัจจุบัน “ภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์” หรือ “พี่เก๋” เป็นเจ้าของรีสอร์ทขนาดเล็กที่หรูหราด้วยความงามแห่งธรรมชาติในจังหวัดเชียงราย มีชื่อว่า “Canary Natural Resort” แต่ก่อนหน้านี้ เป็นเวลาร่วม 20 ปี ที่พี่เก๋อุทิศทั้งชีวิตและเวลาให้กับการทำงานทางการเมืองตามอุดมการณ์ที่ยึดมั่น

 

หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาจากวชิราวุธวิทยาลัย พี่เก๋เข้าเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แล้วก็สอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เนื่องจากในปีนั้นเกิดปัญหานักศึกษาตีกันในคณะที่เรียน คุณพ่อจึงขอร้องให้กลับมาเรียนในกรุงเทพฯ กอปรกับพี่เก๋เองก็เชื่อว่า เมื่อเรียนจบแล้วคงต้องมาช่วยดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว จึงเลือกเรียนต่อคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก่อนจะบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

เมื่อเห็นว่า ลูกชายเรียนจบปริญญาโทมากว่า 2 เดือน แต่ยังไม่มีวี่แววจะกลับเมืองไทย คุณพ่อของพี่เก๋จึงบินไปตามกลับมาจากอเมริกาเพื่อมาทำธุรกิจ

ขณะที่สมัยคุณพ่อทำโครงการหมู่บ้านเสรีวิลล่าจนมีชื่อเสียงโด่งดัง พี่เก๋กลับเลือกที่จะแตกไลน์ออกมาทำคอนโดฯแทน แต่ระหว่างที่กำลังเรียนรู้ในธุรกิจอสังหาฯ ได้เพียงไม่นาน เมื่อเกิดการยุบสภาปี 2529 ชีวิตของพี่เก๋ก็เหมือนเดินมาถึงทางเลือกสำคัญของชีวิต ระหว่างถนนสายธุรกิจกับถนนสายการเมือง

“พอยุบสภา คุณพ่อก็เลยหลอกล่อให้ไปลงการเมือง ให้ไปอยู่ชัยภูมิ ซึ่งสมัยก่อนโหดมาก เมื่อ 20 ปีก่อน ภูเขียวยังเป็นดินแดนสีชมพู เดินหาเสียงไปก็ต้องมีคนคอยถือปืนติดตาม ตอนนั้นผมยังอายุประมาณ 30 ปีเอง คุณพ่อคงเห็นว่า คุณลุง (สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์) ก็เคยเป็น ส,ส.ขอนแก่นของพรรคกิจสังคม ก็คงอยากให้ไปต่อยอดจากที่นั่น”

เส้นทางการเมืองของพี่เก๋เริ่มต้นจากการสอบตกการเลือกตั้งครั้งแรก ด้วยคะแนนเสียงที่น้อยกว่าพรรคคู่แข่งเพียง 400 คะแนน จากนั้นพี่เก๋ก็ยังเพียรลงสมัครอยู่เรื่อยๆ 

ครั้นแน่ใจที่จะเดินต่อไปบนถนนสายการเมือง บวกกับเห็นว่าคุณพ่ออยากให้ตนเป็น ส.ส. มาก พี่เก๋จึงขอคุณพ่อออกมาดำเนินแนวทางทางการเมืองในแบบของตัวเอง โดยเลือกกลับมาลงสมัครเป็นตัวแทนชาวกรุงเทพฯ ภายใต้สังกัดพรรคประชากรไทยของคุณสมัคร สุนทรเวช   

 

“ตอนนั้นมีพรรคตัวเลือกแค่ พรรคประชากรไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรม เราก็อยากได้พรรคเล็กๆ จะได้คุยกันง่ายหน่อย เหมือนครอบครัว ไม่มีพิธีรีตองมาก” พี่เก๋เล่าถึงเหตุผลที่ไม่เลือกพรรคใหญ่ๆ 

ในที่สุด ปี 2538 พี่เก๋ก็ได้รับเลือกตั้งในฐานะ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พื้นที่สวนหลวง ประเวศ บางนา และพระโขนง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งในปีนั้น มีรัฐมนตรีคือ ท่านยิ่งพันธุ์ มนะสิการ 

ปลายปี 2543 นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ทำการยุบสภา หลังการเลือกตั้งเมื่อต้นปี 2544 พี่เก๋ได้กลับมาเป็น ส.ส. อีกครั้งในฐานะตัวแทนประชาชนในพื้นที่สวนหลวง-ประเวศ ภายใต้สังกัดพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งปี 2548 ในฐานะผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทย พี่เก๋ก็ได้กลับมาเป็น ส.ส. ในพื้นที่เดิมอีกครั้ง และได้รับเลือกตั้งในปี 2549 ก่อนจะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ ครั้นถึงการเลือกตั้งปี 2550 พี่เก๋จึงย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดินแต่ก็สอบตก จึงหวนกลับมาอยู่พรรคเพื่อไทย 

พี่เก๋เล่าอย่างภูมิใจว่า ตลอดชีวิตการทำงานในแวดวงการเมืองมานาน 20 ปี ตนเองได้มีส่วนผลักดันกฎหมายสำคัญหลายฉบับจนสำเร็จ โดยเฉพาะกฎหมายในเรื่องเมาไม่ขับ ตลอดจนนโยบายเรื่องการศึกษา และนโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และปัญหาสังคม โดยเฉพาะยาเสพติด อีกหลายฉบับ  

“ครั้งหลังสุดต้องแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ แล้วครั้งนี้ไม่ได้รับเลือก บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองแบบนี้ ก็คิดว่าลองกลับอยู่เฉยๆ ก่อนดีกว่า เพราะเราก็อยู่ในแวดวงการเมืองมา 20 กว่าปีแล้ว เข้าใจว่า ทิศทางในการทำงานทางการเมืองไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณคนเดียว ขึ้นอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในโลก และในวันนั้น ถ้าเราอยู่ต่อแต่ทำอะไรไม่ได้ ก็อยู่เฉยๆ ดีกว่า ก็เลยกะว่าคนอายุ 50 ปีอย่างเราก็ควรขึ้นป่าขึ้นเขา พักผ่อนบ้าง”  

 

การถอยฉากออกมาซุ่มดูความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองท่ามกลางความขัดแย้งและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในคราวนี้ พี่เก๋ยืนยันว่าไม่ใช่การอำลาขาด เป็นเพียงแต่การถอยออกมาตั้งหลัก รอดูและคอยให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบ “ห่างๆ อย่างห่วงๆ” 

ช่วงเวลาที่พักร้อนจากงานการเมืองนี้เอง ที่ทำให้พี่เก๋ได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกได้ว่า “พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ” กับช่วงชีวิตระหว่างที่เป็นนักการเมือง นั่นคือการได้หันกลับมาหาธรรมชาติด้วยการใช้ชีวิตปลีกวิเวกอย่างสงบท่ามกลางขุนเขาและป่าไพรในรีสอร์ทเล็กๆ ขนาด 8 ห้อง ในจังหวัดเชียงราย ชื่อ “Canary Natural Resort” 

Canary Natural Resort ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงราย ห่างจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงเพียง 20 -25 นาที และอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกขุนกรณ์ ภายในรีสอร์ทโอบล้อมด้วยขุนเขา ต้นไม้ใหญ่นานาชนิด อากาศเย็นสบายตลอดปี มีการจัดโซนห้องพักอยู่บนเนินเขา ทำให้ได้ชมวิวธรรมชาติอย่างเต็มตา ควบคู่กับการจัดตกแต่งสวนสไตล์อังกฤษที่สวยงาม ซึ่งแม้จะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ที่นี่ก็มีบริการร้านกาแฟสดและมีบริการ WiFi ให้กับลูกค้าเช่นเดียวกับโรงแรมหรูกลางเมือง

รีสอร์ทมีเนื้อที่กว่า 100 ไร่ เพิ่งเริ่มเปิดดำเนินการเมื่อปีที่ผ่านมา ภายในรีสอร์ทมีทั้งแปลงนาปลูกข้าวดอย สวนผักออแกนิคและผลไม้นานาชนิด พร้อมด้วยต้นไม้หลากสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีลำธารน้ำไหลจากน้ำตกขุนกรณ์ที่งดงามตามธรรมชาติ อยู่ภายในรีสอร์ท และมีไร่กาแฟ อยู่บนดอยปางขอน ห้วยชมพู ห่างจากรีสอร์ทเพียง 15 กิโลเมตร 

“จริงๆ มันเริ่มจากที่ดินที่เราซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มทำงานการเมือง ตอนนั้นก็คิดไว้แล้วว่าสักอายุ 50 ปีก็จะพยายามรีไทร์ตัวเอง โชคดีที่ผมได้อยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์มาก่อน ก็ทำให้ได้พบกับนักสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ทำให้เราเข้าใจว่า วงจรชีวิตคนเรา สุดท้ายก็ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ เราก็เลยพยายามสร้างตรงนี้ขึ้นมา” 

พี่เก๋เล่าย้อนกลับไปกว่า 20 ปี ในช่วงที่กำลังลังเลระหว่างที่ดินที่เขาใหญ่หรือที่เชียงราย ด้วยความต้องการปลีกวิเวกและความหลงใหลมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมของทางเหนือ เชียงรายจึงเป็นคำตอบที่ถูกใจที่สุด โดยเกณฑ์ในการเลือกมองหาทำเล คืออยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล และสนามบิน รวมถึงมีน้ำไฟเข้าถึง แต่ต้องไม่อยู่ในจุดที่การจราจรคับคั่ง

นับตั้งแต่ได้ที่ดินมา พี่เก๋เริ่มต้นจากปลูกต้นไม้เองทั้งหมด และทำแลนด์สเคป โดยทำเป็น 3 ระดับ พื้นที่ชั้นล่างเป็นท้องนาและไม้ผล พื้นที่ชั้นกลางเป็นสวนประดิษฐ์ พื้นที่ด้านหลังสุดเป็นต้นไม้ใหญ่และป่าจริง 

“ผมไม่อยากไปทำรีสอร์ทแบบมีไม้ค้ำ ผมเลยซื้อต้นไม้ไปปลูกแล้วทิ้งไว้สัก 20 ปี ตอนนั้นคนอื่นมองว่าบ้า เอาเงินไปทิ้งตั้ง 20 ล้านบาท แต่ผ่านมา 20 ปี วันนี้ ต่อให้คุณมี 20 ล้านบาท ก็หาซื้อที่ดินที่มีต้นไม้โตไม่ได้ หรือหาได้ก็ต้องมีไม้ค้ำ มันจะมีความสุขตรงไหน นี่คือความสุข มันสะท้อนว่า ชีวิตมันเป็นขั้นเป็นตอน การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติถือเป็นเรื่องใหม่ของเรา และมันก็ทำให้เรารู้สึกมีความสุขในชีวิต เพราะได้ทำอะไรใหม่ๆ และได้อยู่กับธรรมชาติ”

 

ด้วยความที่มีพรรคพวกเยอะ จากบ้านพักหนึ่งหลัง ก็เลยต้องเพิ่มจำนวนห้องพักรับรองสำหรับเพื่อนๆ จนกลายเป็นที่มาของรีสอร์ทย่อมๆ ไว้รองรับเพื่อนๆ ที่มาแลกเปลี่ยนคุยกัน ขณะเดียวกัน พี่เก๋ก็ถือโอกาสนี้สอนวิถีธรรมชาติให้กับเพื่อน ด้วยการใช้กุศโลบายต่างๆ ในการทำให้ผู้มาเยือนได้ใช้ชีวิตช้าลง และอยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด เพื่อให้ “ธรรมชาติบำบัด” ทั้งร่างกายและจิตใจของผู้มาพัก ราวกับการชาร์ตพลังงานชีวิตก่อนจะต้องกลับไปสู้ชีวิตอีกครั้ง 

พี่เก๋ยกตัวอย่างว่า กลางคืน ทางรีสอร์ทจะพยายามให้แขกเดินโดยไม่ใช้ไฟฉาย เพราะในความมืดจะทำให้แขกต้องเดินช้าๆ ราวกับเดินจงกรม ทำให้เกิดสติ และพอคนปิดไฟ แขกก็จะสามารถเห็นแสงจันทร์และแสงดาวได้ชัดเจน และท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืนที่รีสอร์ท แขกจะได้นอนฟังเพลงประสานเสียงระหว่างน้ำตกและจักจั่นเรไร ที่จะช่วยบำบัดความเครียดได้อย่างดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้หาได้ยากในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวาย   

“เราพยายามนิยามตัวเองว่า เราเป็นโฮมสเตย์ คือเหมือนบ้านเพื่อน จะนั่งที่ไหนทำอะไรก็ได้ มาทำครัวด้วยกัน แต่เราเป็นโฮมสเตย์ที่หรูหรา เพราะมีแอร์เย็นสบาย มีน้ำอุ่น มีน้ำแรง มีเตียงนุ่ม ผ้าปูสะอาด อาหารอร่อย เสาไฟฟ้าลงใต้ดิน วิวดี ทิวทัศน์สวยงาม” พี่เก๋ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า น้ำที่นี่มีความพิเศษคือ อาบแล้วจะรู้สึกสบายตัวเป็นพิเศษ เพราะน้ำมาจากป่ามาจากธรรมชาติ 

พี่เก๋ยอมรับว่า ประสบการณ์ช่วงที่นั่งทำงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้ได้รู้จักกับนักวิชาการในแวดวงวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมหลายคน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติหลายอย่างที่ได้นำมาใช้ในรีสอร์ท โดยเฉพาะความรู้เรื่อง “น้ำกับการบำบัด” จากอาจารย์มนตรี ค้ำชู

นอกจากนี้ยังมีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่พี่เก๋ได้ฟังมาตลอดตั้งแต่ตอนที่เริ่มเป็น ส.ส. ก็เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดรีสอร์ทขนาดเล็กที่อยู่อย่างพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ ภายใต้วิถีธรรมชาติและวิถีของเศรษฐกิจพอเพียง

“ในหลวงท่านพูดหลายครั้ง แต่ผมไม่เห็นมีนักการเมืองคนไหนเอาไปทำ ผมก็เลยเอามาทำตั้งแต่พระองค์ท่านเริ่มพูดใหม่ๆ เลย ฉะนั้นในไร่ของผม มีทั้งนา แปลงพืชผักสวนครัว สวนผลไม้ สระน้ำ บ่อปลา โดยทุกอย่างเป็นออร์แกนิค”

 

นอกจากนี้  รีสอร์ทแห่งนี้ยังมีไร่กาแฟออร์แกนิคซึ่งปลูกเอง คั่วเอง แล้วก็ขายเอง ภายใต้แบรนด์ “Canary Coffee” และชงขายที่ร้านกาแฟของรีอสร์ท โดยปีนี้พี่เก๋วางแผนจะลงต้นกาแฟเพิ่มอีก 70-80 ไร่ เพื่อที่จะเปลี่ยนให้รีสอร์ทแห่งนี้กลายเป็นรีสอร์ทในไร่กาแฟ 

สำหรับที่มาของแนวคิดการทำไร่กาแฟ เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่พี่เก๋เริ่มมาอยู่เชียงรายใหม่ๆ ภายหลังจากวางมือจากแวดวงการเมือง พี่เก๋ได้ขับรถขึ้นไปบนยอดดอย จนพบกับร้านกาแฟรสชาติดีของชาวเขาเผ่าอาข่าคู่หนึ่ง หลังจากนั้นพี่เก๋ก็เพียรพยายามเดินทางไปชวนให้มาเปิดร้านกาแฟที่รีสอร์ทอยู่บ่อยครั้ง นานถึง 6 ปี วันหนึ่ง ชาวเขาคู่นั้นลงมาขอยืมเงินไปมัดจำกาแฟจากชุมชน เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนมากว๊านซื้อไปก่อน พี่เก๋จึงชักชวนให้มาอยู่ที่ไร่กาแฟที่รีสอร์ทอีกครั้ง ซึ่งการชักชวนครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ

“ผมอยากทำเป็น Business Model เพื่อจะได้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับชาวไร่กาแฟจริงๆ  และก็อยากให้ที่นี่เป็นต้นแบบสำหรับเกษตรพอเพียงไปพร้อมกันด้วย นี่คือเป้าหมายหนึ่งของรีสอร์ท คือผมไม่ได้มุ่งหวังกำไร แต่มุ่งหวังกำไรทางสังคมมากกว่า”  

ไม่เพียงเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านเกษตรกรรม ในฐานะที่มีภรรยาเป็นผู้บริหารโรงเรียนอนุบาล “เปล่งประสิทธิ์” และโรงเรียนนานาชาติ “ชาร์เตอร์”  บวกกับจิตวิญญาณความเป็นนักการเมืองที่ชอบช่วยเหลือประชาชน หลังจากได้คลุกคลีอยู่กับชาวเขามานาน พี่เก๋เริ่มทราบถึงปัญหาในพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งปัญหาสำคัญคือ การด้อยโอกาสในเรื่องการศึกษา พี่เก๋จึงมีแผนที่จะนำโมเดลการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ (Waldrof Education) มาใช้พัฒนาการศึกษาของชาวเขาแถวนั้น

พี่เก๋มองว่า ปัญหาเมืองไทยทุกวันนี้มีสาเหตุมาจากระบบการศึกษาของไทยที่ถดถอย และถูกทำให้เร็วขึ้น ดังนั้นการนำเอาการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ ซึ่งส่งเสริมให้คนได้เรียนรู้จากธรรมชาติและกลับสู่ธรรมชาติมากขึ้น มาใช้กับชาวเขาก็น่าจะเป็นประโยชน์กับชาวเขามากกว่าการนำระบบการศึกษาของส่วนกลางที่บ่มเพาะปัญหามากมาย 

  

“ตามที่วางแผน ผมก็คงจะเปิดให้เรียนฟรี เพราะถ้าพูดถึงเราตอนนี้ เราก็ไม่ได้รวย แต่ไม่ได้จน เรามีบุคลากร และวันนี้ เราก็ไปพักอยู่ตรงนั้น ก็ควรจะดูแลคนในพื้นที่หรือทำประโยชน์ให้กับสังคมตรงนั้น ซึ่งผมมองว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง” พี่เก๋คาดการณ์ว่าโรงเรียนดังกล่าวนี้น่าจะเกิดขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า

ไม่ต่างจากการเป็นนักการเมือง ซึ่งถือเป็นงานบริการประชาชนเหมือนกัน พี่เก๋บอกว่า การได้เห็นแขกมีความสุข ได้เห็นแขกยิ้มอย่างจริงใจและแสดงออกว่าชื่นชอบกับสิ่งที่เราทำให้ รวมถึงการมอบสิ่งดีๆ ที่ปลูกได้จากรีสอร์ทให้แขก นั่นคือความสุขของเขาในฐานะเจ้าของรีสอร์ทแล้ว 

จากชีวิตที่ยุ่งเหยิงในแวดวงการเมือง เมื่อช่วงแรกที่ต้องกลับมาอยู่อย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติ พี่เก๋ยอมรับว่าต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะช่วงที่เป็นนักการเมือง ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้ากลับบ้านตีสอง แต่เมื่ออยู่ที่รีสอร์ท เขากลับไม่มีอะไรให้ทำ นอกจากดูถ่ายทอดประชุมสภา ความวุ่นวายในสภาทำให้เขาเตือนตัวเองว่า เมื่อก่อนเขาเองก็คงมีภาพคล้ายกับนักการเมืองเหล่านั้น

“เหมือนมันรีรันดูชีวิตตัวเอง ถือเป็นเวลาที่ได้ทบทวนชีวิต ทุกวันนี้คนเราโรคจิตขึ้น ฟุ้งซ่านขึ้น เพราะไม่มีการพิจารณาให้เข้าใจตัวเอง วัตถุนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งที่เราก็เหลือเวลาอยู่ในโลกนี้ไม่อีกกี่ปี สังเกตว่าผมจะปลงมาก เพราะตอนเป็น ส.ส. มันได้เห็นตอนตั้งแต่คนรวยไปถึงคนจน และผ่านมาหลากหลายสถานการณ์ทางการเมือง ก็เลยอยากให้คนเรากลับไปสู่ธรรมชาติ ใช้ชีวิตให้ช้าลง แล้วจะมีความสุขขึ้น”

  

ลุเข้าวัยกว่า 50 ปี หลังจากประมวลการใช้ชีวิตของตัวเองทั้งหมด พี่เก๋มองว่า นับเป็นโอกาสดีที่ตนได้เห็นและเรียนรู้อะไรหลายอย่างในชีวิต มีโอกาสได้เรียนต่อต่างประเทศ มีโอกาสได้เป็นนักการเมืองในช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมมากมาย ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม มาถึงรัฐบาลชาติชาย ได้อยู่ในยุคที่ตลาดทุนเปิด และยุคที่ตลาดทุนล่มสลาย ได้เห็นการเมืองสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุดในยุคทักษิณ และช่วงที่แย่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

“มาถึงจุดนี้ ผมว่า ผมมีความสุขมากกับความเป็นตัวเรา ได้เห็นและได้ผ่านอะไรมามากมาย มาถึงวันนี้ ก็คิดว่าเราก็ควรกลับมาอยู่กับธรรมชาติอย่างนี้ แต่ผมก็มีแนวคิดว่า ไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหน ถ้าช่วยอะไรสังคมได้ก็ทำไป”

อย่างไรก็ดี พี่เก๋มักบอกเสมอว่า เมื่อใดก็ตามที่ความขัดแย้งทางการเมืองลดลง และถ้ามีโอกาสได้กลับเข้าไปทำประโยชน์ให้สังคมในฐานะนักการเมืองอีกครั้ง เขาก็อยากกลับไปสานต่ออุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะการผลักดันเรื่องของการศึกษา สิ่งแวดล้อม และพุทธศาสนา ซึ่งล้วนแต่เป็นประเด็นที่พี่เก๋ได้ใช้ชีวิตในช่วงระหว่างพักยกทางการเมืองเข้าไปเรียนรู้และคลุกคลีสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง

“ผมคิดว่า นักการเมืองเป็นอะไรที่สุดๆ แล้ว ถ้าเป็นคนขยันก็จะเป็นอาชีพที่มีงานเยอะที่สุด แต่ถ้าไม่ขยัน ยิ่งเป็นก็ยิ่งโง่ เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถ้าเป็นคนขยันและรู้ดีในสิ่งที่จะทำแล้วด้วย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมาก แต่ถ้าเป็นคนไม่รู้แต่มาอยู่ในการเมือง ประเทศชาติเราก็เสียเวลา” เป็นข้อคิดเฉียบคมประมวลจากประสบการณ์ชีวิตของพี่เก๋

นอกจากการได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตวัย 50 ปี ด้วยการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ มาถึงวันนี้ พี่เก๋มองว่า การพักจากงานการเมืองยังเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ชดเชยวันเวลาให้กับภรรยาและลูกทั้ง 2 คน เนื่องจากก่อนหน้านี้ งานการเมืองได้ยึดเอาวันเวลาในชีวิตของพี่เก๋ไปแทบจะหมดสิ้น ดังนั้น ทันทีที่ได้ชีวิตครอบครัวและชีวิตส่วนตัวกลับมา พี่เก๋จึงไม่รีรอ รีบไปซื้อสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล 1 ตัว และพันธุ์ลาบาดอร์อีก 2 ตัว มาเลี้ยง 

ในชีวิตบั้นปลาย พี่เก๋เห็นภาพตัวเองและศรีภรรยากลายเป็นตายายที่มีความสุขที่สุด ภายในบ้านที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีสุนัขที่วิ่งไปวิ่งมา และมีลูกหลานมาเยี่ยมและพูดคุยถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ โดยภาพที่บ้านหลังที่เห็นในจินตภาพนั้นก็คือภาพของรีสอร์ทเล็กๆ ที่เชียงราย ที่มีชื่อว่า “Canary Natural Resort” นี่เอง 

 


LastUpdate 16/07/2555 00:14:36 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 12:49 am