'นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง'
พื้นที่หัวใจ พื้นที่ความรัก พื้นที่ความสุข
ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเรา
ย่อมมีผู้คนมากมายแวะเวียนเดินผ่านเข้ามาให้เราได้พบปะพูดคุย
กาลเวลาผ่านไป บางคนยังคงความแปลกหน้า ยังรักษาระยะห่างของการเป็นแค่ "คนรู้จัก"
ในขณะที่บางคนเปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้ากลายเป็น "คนคุ้นเคย"
และจากคนคุ้นเคยกลายเป็น "คนรัก"
เคยมีนักปรัชญากับศิลปินให้ความเห็นที่ขัดแย้งแต่สอดคล้องกันอยู่ในทีว่า
ความรักเป็นหัวใจของศิลปะ ในขณะเดียวกันนักปรัชญาก็บอกว่า “ความรักเป็นศิลปะของหัวใจ”
แต่ไม่ว่าในมุมมองไหน หรือของใครก็ตาม
การที่มีชีวิตอยู่คนเดียวบนโลก อาจไม่ต้องใช้ฝีมือเท่ากับการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งต้องอาศัยทั้งศิลปะและพัฒนาการทางด้านจิตใจอย่างมาก
และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือยิ่งคนสองคนใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่
พื้นที่ส่วนตัวของเขาทั้งสองกลับต้องการมากขึ้นยิ่งกว่า
เพราะว่าเราทุกคนต่างมีโลกส่วนตัวอยู่คนละใบ
และเมื่อความรักพาใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิต
โลกใบเล็ก ๆ อีกใบหนึ่งจึงถูกสร้างขึ้น
ซึ่งโลกใบใหม่นี้จะเป็นที่ที่คนสองคนจะได้แบ่งปันความรู้สึกของกันและกันด้วยความเต็มใจ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นมากกว่าจะไปเปลี่ยนโลกและทำลายพื้นที่ชีวิตของเขา
หลังจากวันที่ฝนเม็ดหนาไล่ช้างล้างอากาศที่อบอ้าวของเมืองหลวงแห่งสยามประเทศไปได้เพียงไม่กี่วัน
เรามีนัดกับ คุณเอ๋ “นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค เอ็น เค เอ็น รีเทล จำกัด
ที่แฟลกชิปสโตร์ของออสซิโน ละแวกชิดลม
สุภาพสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเรา ไม่มีอะไรแม้แต่น้อยที่จะตอบรับกับสิ่งที่เธอบอกว่า
…เธออายุเลยเลขสี่มาหลายปีแล้ว
คุณเอ๋เล่าให้เราฟังว่าวัยเด็กเธอนั้นเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอี วิทยาลัย ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม
จากนั้นคุณพ่อก็ส่งคุณเอ๋ไปเรียนต่อที่โรงเรียนประจำที่ประเทศอังกฤษ
"ที่โรงเรียนมาร์แตเดอี เป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน มีกฏ มีระเบียบที่ชัดเจน จำได้ว่าตอนที่เรียนที่นั่นสนุกมาก ทำกิจกรรมต่างๆ มีกีฬาสี เป็นนักกีฬาเล่นบาสเกตบอล วอลเลย์บอล
พอจบ ม.สาม ต่างก็แยกย้ายกันไป
เรียนต่อที่เตรียมอุดมบ้าง สาธิตปทุมวันบ้าง
แต่เชื่อไหมคะว่า เพื่อนๆที่เรียนกันตอนนั้น ทุกวันนี้ก็ยังเจอกันอยู่เกือบทุกวัน"
คุณเอ๋เล่าให้เราฟังด้วยตาเป็นประกาย
"นักเรียนของมาแตร์เดอีจะมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ไปไหนใครๆก็ทราบว่ามาจากโรงเรียนนี้ นั่นคือชุดสีของตัวเองกับกระโปรงจีบรอบตัวสีขาว แล้วคุณเอ๋อยู่สีอะไรคะ" เราถามต่อ
"ตัวเอ๋อยู่สีเขียวค่ะ" คุณเอ๋บอกเรา
"เวลาที่ไปเจอรุ่นพี่รุ่นน้องมาแตร์ฯก็จะถามว่าอยู่รุ่นไหนกัน
ซึ่งบางทีก็จำไม่ได้ แต่บอกว่าอยู่สีเขียวนะ ทุกคนจะต่อกันติด เพราะว่ากิจกรรรมต่างๆที่เราทำร่วมกันคือความสนุกที่ไม่เคยลืม
ที่สำคัญคือได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจากชีวิตสมัยเรียนจนมาถึงปัจจุบันค่ะ"
"แล้วชีวิตนักเรียนประจำที่ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี่เป็นอย่างไรบ้างคะ มีคัลเจอร์ช๊อคบ้างไหมคะ" เราถามคุณเอ๋
มาถึงคำถามนี้คุณเอ๋นั่งเท้าคาง พลางรำลึกถึงชีวิตช่วงนั้นให้เราฟังว่า
"พอตัวเองจบ ม.สาม ก็ไปเรียนที่อังกฤษเลย
ตอนแรกรู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกันค่ะ
ที่โรงเรียนของเอ๋โผล่หน้าต่างออกไปก็เจอดอกแดฟโฟดิลเหลืองอร่ามเต็มทุ่งไปหมด ถ้าเป็นเมืองไทยก็ทุ่งทานตะวัน ยังไงยังงั้นเลย แถมแดดก็มีน้อย เมฆเยอะ เลยยิ่งทำให้เศร้าสลดคิดถึงบ้านเข้าไปใหญ่"
ดอกแดฟโฟดิล ที่บางคนมักจะเรียกว่า นาร์ซิสซัส นั้น เป็นไม้พุ่มสีเหลืองสวยจับใจ ถึงขนาดที่กวีของอังกฤษ อย่าง William Wordsworth (ค.ศ.1770-1850)
ถึงกับแต่งบทพรรณาไว้อย่างซาบซึ้งเลยทีเดียว
"เอ๋จำได้ว่าในคลาสวรรณคดีภาษาอังกฤษ
อาจารย์ได้นำเอาบทกวีของ William Wordsworth มาพูดให้นักเรียนฟังว่า
….I wandered lonely as a cloud
That floats on high o'er vales and hills,
When all at once I saw a crowd,
A host, of golden daffodils;
Beside the lake, beneath the trees,
Fluttering and dancing in the breeze….."
อย่างที่ทราบกันดีว่าวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมาแตร์เดอีนั้น เข้มข้นมากเพียงใด
“แกรมม่าและการเขียนของคุณเอ๋ไม่แพ้เจ้าของบ้านเท่าไหร่นัก
จะติดขัดอยู่บ้างก็ในเรื่องของการพูดนี่แหละค่ะ" คุณเอ๋เล่าให้เราฟัง
"ในช่วงแรกที่เราเข้าไปอยู่นี่ การสื่อสาร ดูเหมือนจะสร้างปัญหาให้เรามากที่สุด คือเราต้องคิดหลายชั้นมาก ต้องคิดไทยเป็นอังกฤษก่อนแล้วค่อยพูด พอได้ยินมาก็ต้องแปลอังกฤษเป็นไทยก่อนถึงจะเข้าใจ"
คุณเอ๋เล่าตรงนี้ให้เราฟังอย่างขำๆ
"แล้วจากนั้นล่ะคะ คุณเอ๋เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ไหนคะ" เราถามต่อ
"เอ๋ไปเรียนต่อที่อ็อกซ์ฟอร์ด เรียนวิทยาศาสตร์ เอกเคมีค่ะ"
คุณเอ๋เล่าต่อไปว่า
"ที่อังกฤษนี่เขาให้เรามองล่วงหน้าในสองปีก่อนจบเลยค่ะ
เขาจะถามเราว่าจะเลือกเรียนที่ไหนบ้าง เลือกมาห้าแห่ง"
"เป็นการเตรียมการที่ดีเหมือนกันนะคะ" เรากล่าวเสริม
"ใช่ค่ะ....เค้าจะมีแคเรียร์ แอดไวเวอร์ ให้คำปรึกษาตลอด
เหมือนคุณครูแนะแนวของบ้านเราน่ะค่ะ"
คุณเอ๋เล่าว่า
"เขาจะดูความถนัด ดูพื้นฐานของเด็กแต่ละคน
ว่าสามารถต่อยอดไปทางไหนได้บ้าง
ตอนเรียนเขาจะมีระดับการเรียนที่เรียกว่า GCSC
เราก็ต้องสอบให้ได้ตามโควต้า
แล้วครูเขาจะมองแล้วในสามวิชาที่เราจะมุ่งเน้นเรียนต่อมหาวิทยาลัย ความที่คนเอเซียจะเก่งเรื่องคำนวน ทำให้ตัวเองสามารถทำคะแนนได้ดีในวิชา เลข เคมี ฟิสิกส์ แล้วก็ชีวะฯค่ะ"
นักเรียนต่างชาติจะเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาในประเทศอังกฤษ เมื่ออายุประมาณ 11 ปี หรือ 13 ปีในวิชาพื้นฐาน
หลังจากนั้นส่วนใหญ่จะศึกษาต่อในวิชาหลักและวิชาเลือกตามการศึกษาระดับ GCSE หรือ General Certificate of Secondary Education นอกจากนั้น ยังสามารถเลือกศึกษาหลักสูตรวิชาชีพในระดับที่เทียบเท่าได้ โดยเมื่ออายุครบ 16 ปี นักเรียนสามารถออกจากระบบการศึกษา หรือเข้าศึกษาต่อในระบบการศึกษาหลังอายุ 16 ปีก็ได้
ส่วนใครที่ต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
ก็มักเลือกที่จะศึกษาต่อตามระบบการศึกษาจนถึงอายุ 18 ปี
โดยส่วนมากจะเข้าศึกษาต่อในระดับ A - Level เป็นเวลา 2 ปี
เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจะได้รับวุฒิการศึกษา A - level หรือเทียบเท่า หลังจากนั้นก็จะศึกษาต่อไปในระดับอาชีวศึกษา (Further Education) หรืออุดมศึกษา (Higher Education) ต่อไป
"ตอนนั้นเขาก็จะจัดกลุ่มให้เราว่าควรจะไปทางวิทยาศาสตร์นะ
เริ่มตั้งแต่ แพทย์ มาวิศวะ ไบโอเคมี เรื่อยมา
เป็นสาขาวิชาชีพทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น
เราเองก็เริ่มคิดว่าถ้าฉันจบมาจะทำงานอะไร"
คุณเอ๋เล่าให้เราฟังว่า
"พอดีช่วงนั้นปิโตรเคมีกำลังบูมมาก โรงกลั่นที่มาบตาพุดกำลังจะสร้าง ถ้าจะให้เรียนสถาปัตย์ วาดรูปก็ไม่ได้ งั้นเรามุ่งไปทางนี้ดีกว่า แถมอาจารย์ก็ไกด์เราว่าถ้ากลับมาประเทศไทยแล้วคุณควรจะทำอะไร"
"จริงๆแล้วในสาขาวิทยาศาสตร์นั้น อิมพีเรียล คอลเลจ ที่กรุงลอนดอน จะคะแนนสูงสุด สูงกว่าอ็อกซ์ฟอร์ดที่ตามมาเป็นอันดับสองซะอีกค่ะ แต่คุณพ่อก็บอกว่าไหนๆ มาเรียนที่อังกฤษแล้ว
ลูกลองสมัครที่อ็อกซ์ฟอร์ดซะหน่อยเป็นไร เพราะว่าจะได้ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมากกว่า"
"แล้วคิดถูกไหมคะที่เข้าไปเรียนที่อ๊อกซ์ฟอร์ด" เราถามคุณเอ๋
"คิดไม่ผิดเลยจริงๆค่ะ" คุณเอ๋บอกเรา
"เอ๋เรียนที่ ซัมเมอร์วิลล์ คอลเลจ มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดค่ะ
ที่นั่นได้ให้อะไรกับเรามากกว่าวิชาความรู้จริงๆ"
"แล้วบรรยากาศในการเรียนเป็นอย่างไรบ้างคะ" เราถาม
"สนุกค่ะสนุก"
"เรามีที่เรียนเป็นศูนย์รวม ส่วนคอลเลจที่เราอยู่เป็นที่พัก ทำการบ้าน ซึ่งเราต้องมีวินัยมากในการที่เราไปอยู่ตรงนั้น
เพราะจะไม่มีการมานั่งเช็คชื่อ เราต้องเข้าเรียนตามเวลา
ต้องบริหารตัวเองให้ได้ ทั้งการเรียน ทั้งกิจกรรม "
"ตอนอยู่ที่ไทยคุณเอ๋เป็นนักกีฬา แล้วที่นั่นล่ะคะ" เราถามต่อ
"เป็นนักกีฬาพายเรือค่ะ นอกจากการเรียนที่แสนจะคร่ำเคร่งแล้ว ก็มีกิจกรรมเยอะมากค่ะ เราเองสามารถไปอยู่ชมรมอะไรก็ได้ เราจะรู้จักเพื่อนตรงที่ไปอยู่ตามชมรมต่างๆอีกมากมาย ถ้าอยู่ลอนดอนยู หรือ อิมพิเรียล คอลเลจ อาจจะไม่ได้อย่างนี้ก็ได้ค่ะ"
คุณเอ๋บอกกับเราว่า
"เอ๋เรียนสี่ปี จนจบปริญญาในปี 1991
จริงๆ แล้วตอนนั้น ใครจบยังไม่ค่อยอยากกลับมาไทยเลย
มักจะฝึกงานตามบริษัทต่างๆ เป็น มาร์เก็ตติ้งเทรนนี อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ"
"แต่ช่วงนั้นเอ๋กลับมาเยี่ยมบ้าน แล้วคิดว่าไหนๆก็เรียนมาทางด้านนี้แล้ว เลยลองไปสมัครที่บริษัทเชลล์ดู
ปรากฎว่าเขารับ เราก็เลยไม่ได้กลับไปอังกฤษ "
"หมายความว่าเริ่มงานทันทีเลยเหรอคะ" เราถาม
"ค่ะ... ตอนแรกคิดว่าจะทำงานแค่ปีเดียว แล้วกลับไปเรียนต่อ
แต่พอได้มาอยู่ที่เชลล์ เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆหลายๆอย่างมาก
เรียกได้ว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ของตัวเองเลยทีเดียวค่ะ
ทีนี้ก็เลยอยู่ยาวเลย 13 ปี"
คุณเอ๋กล่าวยิ้มๆ
คุณเอ๋เริ่มงานในตำแหน่งพนักงานเทคนิค ซัพพอร์ท ฝ่ายการตลาด ได้เรียนรู้สูตรน้ำมันต่างๆ อยู่ในห้องแลป
การวางคนในการทำงานของเชลล์นั้นจะให้ทำตรงนี้ก่อน
เพื่อรู้เรื่องราวของโปรดักด์มากที่สุด จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ฝ่ายการตลาด
"ทั้งๆที่ตอนนั้นเราก็กำลังเมามันส์กับสูตรน้ำมันมาก"
คุณเอ๋กลั้วหัวเราะ ทำเอาเราอดหัวเราะตามไม่ได้
"ทางเชลล์เริ่มเปิดแผนกวิจัยขึ้นเป็นคอนซูมเมอร์ รีเสิร์ช
ได้เรียนรู้ลูกค้า หาอินไซท์ เอ๋เลยได้เริ่มต้นใหม่อีก
จากวิเคราะห์น้ำมัน มาวิเคราะห์คนแทน"
"คอนซูมเมอร์รีเสิร์ชนั้นดีมาก วัตถุประสงค์หลักก็คือ
เพื่อสร้างแคมเปญให้ตอบรับความต้องการของลูกค้า
เอ๋เลยได้รับปลูกฝังแนวความคิดที่ว่า กลุ่มผู้บริโภคนั้นมีความชอบ รสนิยม ที่แตกต่างกันไป และสาเหตุในการเลือกซื้อใช้ของเป็นสิ่งสำคัญที่สำคัญที่สุด เราจึงควรที่จะเข้าใจพฤติกรรมของเขาในจุดนั้น แล้วจึงนำเสนอในสิ่งที่คิดว่าลูกค้าต้องชอบ จากนั้นค่อยสร้างเป็นแผนงานที่เอื้อต่อการตลาดต่อไป
ซึ่งแนวความคิดนี้สามารถช่วยในการทำธุรกิจของตัวเองในเวลาต่อมาได้เยอะมากค่ะ"
คุณเอ๋กล่าวในที่สุด
จากนั้นคุณเอ๋ก็ได้มีโอกาสเข้ามาดูน้ำมันของมอเตอร์ไซค์ แล้วก็เชลล์แอดวานซ์
"เอ๋ได้เป็น Brand Manager ดูแลในส่วนของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ทำให้เราเข้าใจคนขี่มอเตอร์ไซค์มากขึ้นนะคะ
เราเข้าใจวิถีการใช้ชีวิตของเขา นอกจากนั้นเอ๋ก็ดูแลหมด รวมถึงบรรจุภัณฑ์ด้วยค่ะ"
"วันนี้มองย้อนกลับไปถือว่าเราได้เรียนรู้จากเชลล์มาก"
"เอ๋เริ่มทำงานในภาคพื้นกลุ่มเซาธ์ อีสท์ เอเชียมากขึ้น
ได้เดินทางเยอะมาก เดือนละหนเป็นอย่างน้อย
ได้ไปที่ที่เราไม่เคยไป ไปทุกประเทศในอาเซียน
ดูว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
อย่างเช่นเวียดนามที่ไม่เหมือนกับเราเลย
เพราะว่าใช้มอเตอร์ไซค์สี่จังหวะ ต่างกับบ้านเราที่ใช้สองจังหวะ"
การที่คุณเอ๋เข้าไปดูแลในส่วนของมอเตอร์ไซค์
ในภาคพื้นอาเซียนด้วยทำให้ต้องเดินทางบ่อยมาก
"แต่ในใจเอ๋เริ่มไม่ชอบที่เดินทางมากไปแล้ว
ตอนนั้นเราแต่งงานมีลูกด้วย
ได้ลาพักไปสามเดือนเลยได้มีเวลามานั่งใคร่ครวญ
ตอนนั้นที่เรายังไม่มีลูก ชีวิตมันไดนามิกมาก
เชื่อไหมค่ะว่าบางทีสองคนเดินทางต่างประเทศสวนกันก็มี
พอมีลูกจึงเริ่มได้คิด เริ่มกังวลแล้ว
ตอนนั้นท้องเจ็ดเดือนยังต้องเดินทางอยู่เลย"
คุณเอ๋บอกกับเราว่าตัวเองเป็นคนคิดเร็ว ทำงานเร็ว
พอมีน้องก็เริ่มคิดแล้ว คิดไปคิดมาก็เลย ลาออกดีกว่า
"อันนี้จากคำแนะนำของคุณสามีด้วยน่ะคะว่าออกมาเถอะ"
คุณเอ๋เล่าให้เราฟังต่อไปอีกว่า
"เอ๋คิดว่าลาออกมาเลี้ยงลูกอย่างเดียวไม่ได้แน่นอน
เพราะเป็นคนแอคทีฟ ต้องทำงาน มีชีวิต สังคมของเรา
จริงๆแล้วก่อนจะออก ทางเชลล์ก็บอกเราว่าทำงานสามวันดีไหม
ที่เหลือเอางานไปทำที่บ้าน แต่เรามานั่งคิดดูแล้ว เราไม่ใช่แบบนั้น ก็เลยลาออก"
"ตอนนั้นเราก็เลยมานั่งคิดว่าจะเลี้ยงลูกกับทำงานไปด้วยกันได้ยังไงดี แล้วก็มีเพื่อนมาแนะนำ Jimboree ให้ฟัง"
Jimboree เป็นสถานที่พัฒนาศักยภาพของเด็ก โดยยึดมั่นว่าการเล่นที่เหมาะสมสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี สามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้านสติปัญญา เพิ่มพูนทักษะทางร่างกาย และปลูกฝังพัฒนาการที่ดีทางสังคมให้กับเด็กเล็กผ่านการเล่น โดยมีลักษณะเด่นคือ มีคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองเข้าร่วมกิจกรรมด้วย เพื่อช่วยกระตุ้นให้ทุกกระบวนการเรียนรู้ของเด็กนั้นมีความหมายมากยิ่งขึ้น
"เอ๋เลยพาลูกไปเรียน พอได้เข้าไปสัมผัสแล้วเราเห็นว่าเหมาะสมกับเด็กมาก พอดีได้คุยกับเจ้าของ ก็ได้ความว่าเขาจะขยายสาขา ซึ่งเอ๋ก็ได้คุยกับเขาว่าเราสนใจนะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เรียนมาทางนี้เลยก็ตาม แต่เอ๋ชอบมาก เราได้เรียนรู้เด็กผ่านการเล่น ซึ่งจะได้เอามาใช้ในการเลี้ยงลูกตัวเองด้วย"
คุณเอ๋เลยได้เปิดJimboree สาขาพระรามสามขึ้น
มาถึงวันนี้ก็ขึ้นปีที่เก้าแล้ว
"เอ๋มีความสุขกับการพัฒนาสังคม ได้เฝ้าดูลูกโตขึ้นๆ
มองเห็นครอบครัวที่มีความสุข ทำให้เอ๋ผูกพันกับ Jimboree
มากค่ะ"
คุณเอ๋บอกกับเรา
จริง ๆ แล้วการออกมาทำธุรกิจเองนั้น มันไม่ได้สบายอย่างที่คิด
การทำงานก็ยังมากอยู่เหมือนเดิม จนบางครั้งอาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ข้อสำคัญคือเราต้องมีจุดยืนให้ชัดเจนว่าตอนนี้เราต้องการทำอะไร มีเป้าหมายในการทำธุรกิจตรงนี้อย่างไร ถ้ามีเป้าหมายแล้ว เราจะได้ไม่รู้สึกว่าเรารีแล็กซ์ หรือทำงานช้าจนเกินไป
"ตัวเอ๋เองถูกเปลี่ยนการมองแบบวิทยาศาตร์ให้เป็นมุมมองการตลาด ผ่านพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้เรารู้จักสังคมขึ้นมาเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาของการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออสซิโน่จากประเทศออสเตรเลียค่ะ"
ออสซิโน (Aussino) เป็นชุดเครื่องนอน และโฮมแฟชั่นชั้นนำที่มีสาขา 6,000 แห่งทั่วโลก เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ซาอุดิอาระเบีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศไทยด้วย
คุณเอ๋บอกกับเราว่า
"เพื่อรองรับแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละปี
ชุดเครื่องนอนออสซิโนนั้น จึงให้ความสำคัญในเรื่องของการออกแบบเป็นอย่างมาก เพื่อตอบสนองความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ให้ได้มากที่สุดค่ะ"
"เรามีทีมดีไซเนอร์สำหรับออกแบบคอลเลคชั่นต่างๆ อยู่ทั่วทุกเมืองที่เป็นแหล่งแฟชั่นชั้นนำในหลายๆ ประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานที่นิวยอร์ก ลอนดอน เมลเบิร์น เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์และมาเลเซีย โดยสำนักงานแต่ละแห่งนั้นได้ออกแบบลวดลาย เลือกใช้สีสันมากมายในแต่ละปี เพื่อต้อนรับฤดูกาลแห่งแฟชั่นประจำปี ทั้งในช่วงสปริง-ซัมเมอร์ (Spring/ Summer) และฟอลล์-วินเทอร์ (Fall / Winter) นั่นเองค่ะ"
"คุณเอ๋ทำออสซิโน่นี้มากี่ปีแล้วคะ" เราถาม
"หกปีแล้วค่ะ ซึ่งสเกลใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ที่ผ่านมาเราพบว่าคนไทยนั้นไม่คุ้นกับการซื้อผ้าปูที่นอนแบบต้องถอดปลอกผ้านวมซัก เคยชินกับการเลือกแบบสีเรียบๆ เนื้อนุ่ม แต่เชื่อไหมค่ะว่าทุกวันนี้กว่าครึ่งของยอดขายคือคอนเทมโป้ คอลเลคชั่น ซึ่งถือว่าคือหัวใจของออสซิโน่เลยก็ว่าได้
คอนเทมโป้ เป็นคอลเลคชั่นตามฤดู เหมือนแฟชั่น
แล้วทุกวันนี้ลูกค้าก็ถามเราตลอดว่าคอลเลคชั่นใหม่มาเมื่อไหร่"
นอกจากนี้ ในแผนการขยายธุรกิจของออสซิโนยังให้ความสำคัญในการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นดีไซเนอร์เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าประดับตกแต่งห้องนอน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีความร่วมมือกับพันธมิตรสินค้าแบรนด์ Srinlim
และเฟอร์นิเจอร์สำหรับเด็กแบรนด์ Knotty Berry
ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้าในออสซิโนเฮ้าส์เป็นอย่างดี
"ล่าสุดตอนนี้เรามีพันธมิตรรายใหม่ค่ะ" คุณเอ๋บอกกับเรา
"เป็นดีไซเนอร์เฟอร์นิเจอร์ แบรนด์ PHILOS
เราต้องการให้ลูกค้าของเรามองเห็นคอนเซ็ปต์ในการตกแต่งห้องนอนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มความต้องการในการเลือกซื้อสินค้าตกแต่งห้องนอน และเป็นการสร้างความประทับใจให้แก่กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในออสซิโนเฮ้าส์อีกด้วยค่ะ"
"แล้วกลุ่มเป้าหมายหลักของออสซิโนล่ะคะ" เราถามต่อ
"เนื่องจากโพซิชั่นนิ่งของออสซิโน่คือแฟชั่นเบดดิ้ง
กลุ่มเป้าหมายหลักของเราคือคนรุ่นใหม่ที่มีรายละเอียดในชีวิต
เริ่มมีครอบครัวอายุ 25- 45 ปี ค่ะ "
คุณเอ๋ยังเล่าให้เราฟังถึงแผนการขยายธุรกิจในอนาคตอีก 5 ปีด้วยว่าได้วางเป้าหมายในการผลักดันธุรกิจให้เติบโตขึ้นอีกเท่าตัว ผ่านกลยุทธ์ทางการตลาดด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายสาขาในรูปแบบไลฟ์สไตล์สโตร์ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการ จากที่ปัจจุบันมีอยู่ 3 สาขา ได้แก่ 1. ออสซิโนเฮ้าส์ บนถนนชิดลม 2.ออสซิโนสโตร์ ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ และ 3. ออสซิโนสโตร์ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค
ทั้งนี้โดยจะให้ความสำคัญเรื่องของการหาทำเลในสถานที่
ที่เหมาะสมและตรงกับกลุ่มเป้าหมายของออสซิโน และอีกหนึ่งกลยุทธ์ คือ การแบ่งกลุ่มและการผสมผสานผลิตภัณฑ์
ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
"ที่ผ่านมาเรามีแคมเปญ AUSSINO Love the Earth นะค่ะ ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง"คุณเอ๋เล่าให้เราฟัง
"อยากให้คุณเอ๋ขยายความให้ฟังหน่อยน่ะค่ะว่าออสซิโน่รักษ์โลกนี้มันคืออะไร" เราถามคุณเอ๋ด้วยความสนใจ
"แคมเปญนี้เป็นการกระตุ้นจิตสำนึก รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้หันมารักษ์โลก และใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นค่ะ โดยเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากเรื่องใกล้ตัว อาทิ การเลือกใช้สินค้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่ง AUSSINO
ได้มีการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุดเครื่องนอนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนรักษ์โลก"
คุณเอ๋เล่าต่อไปว่า
"ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นและสร้างความเสียหายในหลายประเทศทั่วโลกนั้น เราสามารถบรรเทาความรุนแรงลงได้ หากทุกคนร่วมมือกันรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
แคมเปญ “AUSSINO Love the Earth” นี้ จึงเป็นการรวมผลิตภัณฑ์ AUSSINO ทั้งชุดเครื่องนอน ไส้ผ้านวม และหมอนหนุน ที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เส้นใยไผ่ (Bamboo Fiber) ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดค่ะ"
"เราคิดแคมเปญนี้ขึ้นมานั้น ไม่ได้หวังให้มียอดขายถล่มทลาย
หากแต่อยากจะให้ผู้บริโภคลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ จากเส้นใยไผ่และคอตต้อน 100%
เอ๋เชื่อนะคะว่าหากผู้บริโภคได้ทดลองใช้จะเกิดการซื้อซ้ำ
และเป็นการสร้างการตลาดแบบปากต่อปากให้เกิดการใช้งานผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติในวงกว้างต่อไปอย่างแน่นอนค่ะ"
คุณเอ๋กล่าวกับเราด้วยความมุ่งมั่น?
"ดูคุณเอ๋เป็น เวิร์กกิ้งวูแมน ตัวจริงเลย แล้วอย่างนี้แบ่งเวลาให้กับครอบครัวอย่างไรคะ" เราถาม
"เอ๋เป็นคนโชคดีที่สามีคือคุณเคนเนธนี่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ปี 1988 น่ะค่ะ หลายคนบอกว่าเราสองคนคล้ายคลึงกันมาก
อยู่ด้วยกันแล้วไม่เบื่อ จนเบลนซึ่งกันและกัน"
“ลีโอ ตอลสตอย”นักประพันธ์ชาวรัสเซีย
ได้เคยเขียนถึงวุฒิภาวะของความรักใน "บทหนึ่งของชีวิตสมรส" ว่า
"ฉันต้องการความรักที่จะมากำหนดชีวิตของเรา ไม่ใช่ชีวิตที่จะมากำหนดความรักของเรา
เพราะฉะนั้นคุณเอ๋จึงได้บอกกับเราว่า
"ที่สำคัญคือแต่ละคนต่างก็มีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง
เราสนุกกับสังคมของตัวเอง เขาก็สนุกในสังคมของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลาเลยค่ะ
เพราะถึงยังไง...เราคือเรา...เขาคือเขา.
..แม้เราจะเป็นคนรักกัน
แต่เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าชีวิตของกันและกัน
ความรักนั้นเป็นการผสมกลมกลืนทางเคมี ชีวภาพ
และจิตวิทยา ซึ่งคนของเราทุกคน ควรที่จะรู้จักวิธีในการเข้าถึงนะคะ"
หลายคนหลายคู่มักจะกลัวกับการมีชีวิตคู่
โดยให้เหตุผลว่ากลัวที่จะสูญเสีย Space ของตัวเอง
ซึ่งเรื่องของ Space หรือพื้นที่ส่วนตัวนี้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และต้องอาศัยการเรียนรู้ มีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากพอสมควร ถึงแม้ว่าความสุขจากการอยู่คนเดียวนั้น
อาจจะหมายถึงการที่เราได้ดูแลชีวิตของตัวเอง
ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ โดยไม่ต้องตอบคำถามใคร
แต่การที่เราได้มีโอกาสแบ่งปันความรู้สึกให้กับคนที่เรารัก
ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต ที่ใคร ๆ ก็ต้องการเช่นกัน
แต่มีข้อแม้ที่เราต้องทำความเข้าใจกับสถานะของตัวเองให้ดีเสียก่อนว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน
คุณเอ๋เล่าให้เราฟังว่าตัวเองนับถือศาสนาพุทธ
แต่ว่าได้ไปประกอบพิธีแต่งงานแบบคริสต์ที่ประเทศมาเลเซีย
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณเคนเนธสามี ปัจจุบันนี้มีบุตรวัยน่ารักสองคน คนโตเป็นผู้ชายอายุสิบสามปี คนน้องเป็นผู้หญิงอายุสิบสองปี
"เอ๋เจอสามีที่อังกฤษค่ะ เขาเรียน คิงส์ คอลเลจ ที่ลอนดอน
คณะไบโอเทค ซึ่งเรียนหนักมาก เรามาพบกันในการทำกิจกรรม เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน มาเจอกันในงานอะไรซักอย่าง เราต้องนั่งรถไฟไปลอนดอน พอเจอกันก็แนะนำตัว คุยกัน เนื่องจากเป็นคนเอเซียเหมือนกัน เราไทย เขามาเลเซีย จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะหยุดซัมเมอร์ ใกล้จะจบ ส่วนใหญ่ปิดเทอมนี่จะไม่กลับบ้านกัน จะไปเที่ยวบ้านเพื่อน ใครอยู่ประเทศไหนบ้างก็ไปเที่ยวกัน"
คุณเอ๋พูดยิ้มๆ
"แต่เขานี่เลือกมาเที่ยวประเทศไทย ก็เลยมาเจอกันที่ไทย
เซย์ฮัลโหลกัน แล้วก็พาไปทานข้าว แลกเปลี่ยนที่อยู่กัน
ตรงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นค่ะ"
"จากนั้นเขาก็พยายามจะมาหางานทำในประเทศไทย
เพื่อนๆ ก็บอกเราว่า เขาต้องปิ๊งเราแน่ ในที่สุดเขาก็มาทำงานที่ประเทศไทย เป็นนักการเงิน ปัจจุบันเป็น Investment Bankerค่ะ"
"แล้วลูกๆของคุณเอ๋ล่ะคะตอนนี้เรียนที่ไหนคะ" เราถาม
"ทั้งคู่เรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ชรูวส์เบอรี่ ค่ะ
เพราะว่าสามีเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ที่มาเลเซีย
เขาก็เลยอยากให้ลูกเรียนที่นี่"
"เอ๋ได้เตรียมตัวตั้งแต่สิบปีที่แล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
ต้องทำงานแค่ไหน เพราะว่าตั้งใจจะส่งลูกๆไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอยู่แล้ว ตอนนี้เลยต้องขยันทำงานเป็นพิเศษ"
"เอ๋ห่วงเรื่องการคบเพื่อน ตอนนี้ก็สอนให้เขาดูให้ดีๆ
พยายามรู้จักคนให้เยอะ เพราะว่าเด็กๆ เขาชอบมี
BFF หรือ Best Friend Foreverไงคะ
เอ๋ก็จะบอกกับเขาว่า Best Friend น่ะไม่จำเป็นต้องมีคนเดียวเลย"
"เราสอนให้เขาเล่นกีฬา ให้มีกิจกรรมอื่นๆด้วย
ใช้ชีวิตให้สมดุลย์ ไม่ใช่มีแต่เทคโนโลยีอย่างเดียวค่ะ"
"ดูอย่างนี้คุณเอ๋หรือคุณเคนเนธ ใครที่ดุมากกว่ากันคะ" เราถาม
"พ่อดุกว่าค่ะ" คุณเอ๋หัวเราะก่อนตอบคำถามนี้
"เอ๋จะเป็นฝ่ายปลอบ แต่ไม่ไปโอ๋ ไม่ไปลบในสิ่งที่พ่อเขาพูดไว้นะคะ แต่ถ้าทำดีก็มีรางวัลให้ ยกตัวอย่างเช่น
ครอบครัวเราไม่ส่งเสริมให้ทานของหวาน ชอคโกแลต ซักเท่าไหร่ แต่วันนี้ให้รางวัล ทานได้วันนึงอะไรแบบนี้"
คุณเอ๋กล่าวต่อไปว่า
"เราสอนให้เขามีวินัยค่ะ ความมีวินัยของตัวเอง
และของสังคม เพราะว่าการอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นสิ่งสำคัญ
คนหมู่มากต้องมีวินัย ถ้าเราอยากให้เขาเป็นยังไง
เราก็ต้องถามตัวเองว่า เราทำได้หรือยัง แล้วทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
นอกจากนั้น เอ๋ยังสอนให้พวกเขารู้จักการรอคอย รู้จักการแบ่งปัน ด้วยพื้นฐานของโซเชียลสกิล ด้วยพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคน สถาบันครอบครัวคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการพัฒนาเด็ก พัฒนาเยาวชน เพราะฉะนั้นเราต้องใช้เวลากับครอบครัวให้มากค่ะ"
คุณเอ๋ยังเล่าให้เราฟังอีกว่า
"เอ๋เพิ่งคุยกับสามีเองว่า ถ้าลูกไม่อยู่แล้ว ไปเรียนที่ต่างประเทศกันทั้งคู่….แล้วเราจะทำอะไรกันดี"
"แล้วคุณเคนเนธบอกคุณเอ๋ว่าอย่างไรคะ" เราถาม
"เขาบอกว่าอันดับแรกนี่ ต้องเริ่มกลับมาดูแลตัวเองบ้างแล้ว" คุณเอ๋หัวเราะ
"สมัยก่อนถ้าเรามีเวลาว่าง เราจะยกขบวนกันไปหัวหิน
ถ้ามีโอกาสก็ไปต่างประเทศกันบ้าง แต่ตัวเอ๋เอง...อยากพายเรือแต่ไม่มีสระน้ำให้พาย หลังเราเริ่มเสื่อมสภาพ ยกของหนักไม่ไหวแล้ว"
"ตอนนี้อายุ 44 ดูแลตัวเองแบบไม่ดูเท่าไหร่ ชอบทาน ชอบเล่นกีฬา ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว เล่น บาส วอลเลย์ เทนนิส เป็นคนชอบเคลื่อนไหวน่ะ ตอนนี้เลยเริ่มหันมาเล่นโยคะพิลาติสบ้างแล้ว"
โยคะพิลาติสที่ คุณเอ๋เล่าให้เราฟัง
เป็นชุดท่าออกกำลังและการหายใจที่อาจารย์โยเซฟ พิลาทิส (Joseph Pilates) ชาวเยอรมันรวบรวมและพัฒนาขึ้น
จุดเด่นของพิลาทิส คือ ใช้บริหารกล้ามเนื้อโครงสร้าง (core muscles) ที่ทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงกระดูกสันหลัง และช่วยป้องกันและรักษาโรคปวดหลัง-ปวดไหล่ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น คุณเอ๋ยังได้เปิดเผยเคล็ดลับที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนให้กับเราว่า
"เอ๋ชอบทำอาหารนะคะ ทำได้หลายอย่างเลย โดยเฉพาะบากุ๊ดเต๋ เอ๋ชอบเข้าครัว ได้สับๆหั่นๆ มันเหมือนกับเป็นการผ่อนคลาย และทำสมาธิอย่างหนึ่ง นอกจากนั้น เอ๋เริ่มสนใจเรื่องอาหารที่เราทานไป พยายามควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์พอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไปค่ะ"
คำถามสุดท้ายที่คุณเอ๋ตอบเราก่อนจากกันเมื่อฝนเริ่มตั้งเค้ามาอีกรอบ คือ
คุณเอ๋บอกกับเราว่า Passion คือหัวใจในการทำงานของเธอ
"เราต้องคลั่งไคล้ในสิ่งที่เราทำนะคะ เชื่อในสิ่งที่เราทำ เราทำให้สุดตัว ทำให้ดีที่สุด สร้างการยอมรับทั้งทีมของเราเอง ทั้งลูกค้าค่ะ"
หากความหมายของคำว่า "นนทกานต์" คือหญิงสาวผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เราคงปฎิเสธไม่ได้เลยว่า
“คุณเอ๋ นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง”
คือหนึ่งในไม่กี่คนของสังคมไทย
ที่สามารถบริหารพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองได้อย่างมีความสุข
ความสุขจากการทำงาน ความสุขที่เป็นผู้ให้
ความสุขที่เป็นคุณแม่ที่น่ารักของลูกๆ
และความสุขที่เป็นภรรยาที่น่ารักของสามี
เพราะว่า “The love is not to give. Love is to share.”
ข่าวเด่น