เพราะว่ารัก จึงเห็น และเป็นอยู่ เจนจิรา กมลเศวตกุญ เจ้าของ Fab Fashion Cafe
เจนจิรา กมลเศวตกุญ
เพราะว่ารัก จึงเห็น และเป็นอยู่

 
เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าอะไรเป็นพลังขับเคลื่อนให้เราออกไปดำเนินชีวิต?
บางคนดำเนินชีวิตด้วยพลังแห่งความรัก แต่บางคนก็อาจดำเนินชีวิตด้วยพลังของความกลัว
แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังที่เกิดมาจากความรัก หรือความกลัวต่างก็มีจุดเริ่มต้นที่พึ่งพาและขับเคลื่อน 
มาจากแรงจูงใจภายใน และแรงกระตุ้นภายนอกทั้งนั้น พลังจากภายนอกที่เป็นแรงกระตุ้นนั้น 
ถ้าเรานำมาใช้ประโยชน์บ้างเป็นครั้งคราว อย่างมีสติรู้ตัวก็พอจะเป็นประโยชน์กับชีวิตเราได้บ้างตามสมควร แต่ถ้าเราจะเอาแรงกระตุ้นเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนทั้งหมดชีวิตเราแล้วละก็ เราก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิตไปแล้ว 
“แรงจูงใจ” ซึ่งมาจาก “พลังจากภายใน” ต่างหาก
ที่เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตที่แท้จริง เพราะมันเป็นพลังที่สร้างสรรค์กว่า มีพลังและยั่งยืนมากกว่า 
และที่สำคัญเราเองไม่ต้องไปแสวงหามาจากไหนเลย เพราะว่ามันเป็นพลังแห่งความรัก  

พลังที่อยู่ในตัวของเราทุกคนนี่เอง ถ้าเราสามารถหามันให้พบ และนำมันออกมาใช้พัฒนามันให้เปล่งประกายสูงสุด เชื่อว่าไม่ว่าชีวิตแบบไหนที่เราต้องการ เราก็ย่อมจะได้ชีวิตแบบนั้นอย่างแน่นอน 

กาแฟรสเข้มกลิ่นหอมกรุ่นนำพาให้เรามาพบกับ คุณ “เจนจิรา กมลเศวตกุญ” หรือ คุณเลิฟ
สุภาพสตรีผู้ซึ่งบอกกับเราว่า ทำทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยหัวใจ "จริงๆแล้ว พี่เป็นคนโหยหาความรักนะคะ"
คุณเลิฟบอกกับเราในเช้าวันหนึ่ง "พี่เป็นเด็ก Broken Home ค่ะ 
อยู่กับคุณป้าที่กรุงเทพฯ เรียนที่โรงเรียนเซเว่นเดย์ แอดเวนติส แถวเอกมัย จบแล้วก็ไปเรียนต่อเลขาฯที่ประเทศอังกฤษ"
คุณเลิฟเล่าว่า เป็นคนที่มีความคิดอยากเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็ก อยากเรียนจบเร็วๆ เลยเลือกเรียนสายอาร์ต สายอาชีพ
ไปเรียนเลขาฯ ที่อังกฤษ ใช้เวลาเรียนไม่นาน จบเลขาฯก็ไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ที่อิตาลีต่อ 
"อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นยังหาตัวเองไม่เจอด้วยมั้งคะ พอจบออกมาก็ได้ทำงานเป็นเลขานุการอยู่ปีสองปี
แต่ที่มุ่งจริงๆ คือ งานทางด้านแฟชั่นเลยได้มาทำงานให้กับโรงงานที่ผลิตสตรีทแวร์ เป็นดีไซน์เนอร์ ได้เดินทางไป
หลายประเทศ ดูโรงงานที่ฮ่องกง ไต้หวัน เกาะไซปัน แต่จริงๆ แล้วเราไม่ค่อยถนัดงานแบบนี้ จะถนัดงานที่เป็นผู้หญิงมากกว่า"

คุณเลิฟเล่าให้เราฟังว่า"พอกลับมาเมืองไทยก็ทำร้านตัวเองเล็กๆ ใช้ชื่อตัวเอง Luv นี่แหละค่ะ ก็ออกแบบเอง ตัดเองเป็น Ready to Wear ทำได้ประมาณนึงก็แต่งงาน มีครอบครัว มีลูกสาวก็เลยไปช่วยกิจการของครอบครัว ทำหลายๆ อย่าง"
 
"แล้วตอนนั้นหาตัวเองเจอหรือยังคะ" เราถาม 
"ยังค่ะ...  พี่ยังหาไม่เจอนะ แต่คิดในใจอยู่เสมอว่า เราต้องหาตัวเองให้เจอให้ได้"

คุณเลิฟเล่าต่อไปว่า "เลยมาคิดดูว่า Ready to Wear ตอนนั้นเป็นงานที่ไม่ค่อยจะได้สตางค์เยอะซะเท่าไหร่ 
เลยตัดสินใจที่จะนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ ชื่อ Fabulas Fashion Center อยู่แถวๆ ซอยทองหล่อ แต่มาแย่ตอนวิกฤติต้มยำกุ้งปี1997" คุณเลิฟปาดเหงื่อ

"ทุกอย่างมันคูณสองหมด เลยกลายเป็นจุดหักเหของชีวิต เราต้องกลับมานั่งนึกว่าแท้จริงแล้วเราอยากทำอะไร อยากอยู่เมืองไทยหรืออยากอยู่เมืองนอก ตอนนั้นงงไปหมดกับ stock ที่เหลืออยู่ พยายามระบายออก ขาย แจกแบบขาดทุน"

"ตอนนั้นลูกสาวพี่โตหรือยังคะ"  เราถาม
"ตอนนั้นลูกสาวพี่ยังเล็กค่ะประมาณแปดเก้าขวบ
เลยคิดว่าจะย้ายไปอยู่อังกฤษ ไปหาโรงเรียนให้ลูก แล้วก็เปิดออฟฟิศเล็กๆ กับเพื่อนชาวอิตาเลียน
แต่ก็ยังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี "

คุณเลิฟบอกเราแบบนั้น

การเดินทางของชีวิตก็เปรียบเสมือนการเดินเท้า...ที่ต้องไปด้วยตัวเอง เหนื่อย...ก็ต้องหยุดพักด้วยตัวเอง
เพราะถ้าขืนยังเดินต่อ ก็คงไม่หายเหนื่อย มีแต่จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอย แต่ว่าในบางครั้ง...ถึงแม้เหนื่อยสักเท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะหยุดพักได้ เพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องทำ มีบางสิ่งที่รอคอยเราอยู่

คุณเลิฟก็เช่นกัน เมื่อชีวิตเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน คุณเลิฟก็พบกับสิ่งหนึ่งที่คุณเลิฟเองก็ไม่รู้เลยว่า
จะเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งสำคัญ



"พอดีพี่มาเจอ Shop ของ Joyce เก่า ที่ชั้นล่างอาคาร เมอร์คิวรี่ ชิดลมค่ะ"
คุณเลิฟเล่าให้เราฟังว่า ที่ผ่านมาได้ทำธุรกิจกับเพื่อนๆ ชาวอิตาเลียน ได้สังสรรค์ และซึมซับเอาวัฒนธรรมเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือกาแฟ ไวน์อะไรพวกนี้ ก็เลยนำของพวกนี้เข้ามาขาย แล้วก็มีมุมแฟชั่นเล็กๆ ทั้งหมดได้รวบรวมอยู่ในร้านที่ชื่อว่า “Fab Fashion Cafe”

"ตอนแรกเหนื่อยมากๆ เพราะว่าเราไม่เคยทำร้านอาหารมาก่อนเลยยังหาตัวเองไม่เจอว่า
จะทำร้านอาหารประเภทไหนดี เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายรอบ จนในที่สุดก็เป็นร้านอาหารอิตาเลียน
เราอิมพอร์ตมาทุกอย่างแม้กระทั่งเชฟ"

คุณเลิฟเล่าต่อว่า "ตอนแรกเราทำเป็นคาเฟ่ที่จับกลุ่มเด็กนักเรียนวัยรุ่น เรียนมหาวิทยาลัย แต่พออยู่ไปนานๆเข้า เราพบว่ามันไม่ใช่ ทุกอย่างแต่งร้านไป มันไม่ใช่ เพื่อนๆ ก็มาให้กำลังใจ ว่าเราควรทำในสิ่งที่ตัวเองเป็น พอเรากลับมาเป็นตัวตนของเราอย่างแท้จริง เราต้องกล้าในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทำในสิ่งที่ตัวเองรักจริงๆ"

คุณเลิฟถอยกลับมามองตัวเองแล้วพบว่า ตัวเอง คือ อาร์ทติส เป็นดีไซน์เนอร์
"แล้วเราก็นั่งมองดูลูกค้าที่มาร้านเรา เราพบว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกกินหรู อยู่ดี ชอบดื่มไวน์ ฟังเพลงแจ๊ส ชอบดื่มกาแฟดีดี  ทานอาหารดีดี ด้วยความที่ว่าเราแต่งร้านเองได้ ก็ค่อยๆ ปรับ"

หนึ่งเดือนผ่านไปจากร้านที่เป็นเก้าอี้ไม้สแกนดิเนเวียน ก็กลายเป็นเก้าอี้นวม เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะ เปลี่ยนสี เปลี่ยนผ้าม่าน

"พี่อิมพอร์ททุกอย่างมาจากอิตาลี แล้วบอกกับตัวเอง บอกกับเชฟว่า ฉันจะเป็นไฟน์ไดนิ่งแล้วนะ นี่เป็นสิ่งฉันไม่เคยทำมาก่อน แต่ว่าฉันบริโภคมานาน"

คุณเลิฟจิบเอสเพรสโซ่ตรงหน้าแล้วเล่าให้เราฟังต่ออย่างออกรสว่า
"ตัวเองอยากบริการ อยากให้คนอื่นมีความสุขในอาหาร และบริการของเรา อยากให้เขาฟังเพลงเหมือนที่เราฟัง พี่เลยเปลี่ยนเพลงในร้านใหม่ เป็นเพลงแจ๊สในยุค 20's เพราะว่าเราโตมากับสังคมที่ต้องฟังดนตรีแจ๊สทุกวัน ไม่ได้ฟังอย่างอื่นเลย พี่ฟังเพลงในช่วงนั้นเยอะมาก เรียกว่าขึ้นตัวโน้ตมาไม่กี่ตัว บอกได้เลยว่าเป็นเพลงอะไร" คุณเลิฟตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงดนตรีแจ๊ส

"แล้วเราก็มา Audition นักดนตรีที่จะมาเล่นที่ร้าน ก็ไม่มีใครที่จะเล่นได้อย่างที่เราอยากจะฟังเลย
แล้ววันหนึ่ง...มีนักดนตรีเดินเข้ามาในร้าน เป็นรุ่นลุง รุ่นพ่อเรา ทั้งวงเลย เดินเข้ามาขอออดิชั่น เราก็คิดในใจว่าแก่มาก ทำไมแก่อย่างนี้ เลยบอกว่าเชิญเลยนะคะ เล่นได้เลย เสร็จแล้วเราก็หันหน้าไปทำอย่างอื่นต่อ
แต่พอเขาเล่นไปได้สองสามเพลง พี่บอกว่า Wow, This is what i am looking for!
แล้วก็หันไป คิดในใจว่าทำไมต้องเอาคนหนุ่มหล่ะ ในเมื่อเพลงสมัยนั้นก็ต้องเล่นโดยคนที่เกิดสมัยนั้น"
 

คุณเลิฟเล่าต่อ ว่า "เวลาเขาเล่นนี่ ไม่ต้องมีการมากางโน้ต ทุกอย่างอยู่ในหัวเขาหมด การอิมโพรไวส์ต่างๆ มันลื่นไหลไปหมด และแล้วทุกอย่างที่เคยอยู่ในหัวของเรามันก็ผุดขึ้นมาพร้อมกัน จนลงตัวไปหมด"

ร้านอาหารที่เล่นเพลงแจ๊ส เล่นสวิง อาหารอร่อย บรรยากาศดี ทำให้เป็นแหล่งรวมตัวของคนคอเดียวกัน

"ใช่ค่ะ เขามาเจอกัน จีบกัน รักกัน มาขอแต่งงาน หรือแม้กระทั่งหย่าร้าง เลิกรากัน ที่นี้มีหมดทุกฉากของชีวิต พี่นั่งมองตรงนั้นแปดปี ซึ่งประสบความสำเร็จมาก"

"ที่ร้านของพี่นี่จะเป็นแบบ To see and to be seen คือเข้ามาดูคน แล้วก็ในขณะเดียวกัน
ก็ไปเพื่อให้คนอื่นเห็นว่า ฉันก็มาร้านนี้เหมือนกันนะ ที่ร้านเลยเป็นแจ๊สที่หาฟังยาก ณ ยุคนั้น
เพราะลูกค้าของพี่จะเป็นผู้ใหญ่ ที่ได้ไปเรียนต่างประเทศ เติบโตมากับเพลงยุคนั้น เป็นพวกครีม กล้าที่จะจ่าย
เปิดแชมเปญเลี้ยงกัน เปิด XO ให้กัน แล้วก็มานั่งเป็นเพื่อนกัน แทบจะทุกวัน มันเป็นคัลเจอร์อีกแบบนึงในยุคนั้น ซึ่งลูกค้าเหล่านี้ก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของพี่จนถึงทุกวันนี้" คุณเลิฟกล่าวอย่างมีความสุข

แต่แล้วชีวิตก็มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
"ภายหลังตึกเปลี่ยนเจ้าของ เชิญพวกเราออก ทั้งๆ ที่อยู่กันมาแปดปี เราก็เลยมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรต่อดี
ตอนนั้นมีร้านที่เขาใหญ่แล้ว ซึ่งผลประกอบการดีมาก ต่อมาพี่ก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำเข้าตับห่านจากประเทศฝรั่งเศส เลยเปิดร้านอาหารฝรั่งเศสเล็กๆ ร้านอยู่ที่โรงแรมเอราวัณ ประมาณปีครึ่ง แต่ในที่สุดชีวิตพี่ก็จบลงที่เอราวัณ บ้านรื้อ รีโนเวทใหม่ทั้งหลัง เสื้อผ้าเก็บใส่ตู้ เฟอร์นิเจอร์เก็บหมด พี่หยุดทุกอย่าง แล้วย้ายไปอยู่เขาใหญ่"

คุณเลิฟบอกว่า "ที่นั่นพี่ไม่ทำอะไรเลย  แค่ขี่จักรยาน ออกกำลังกาย  ทำสวน ปลูกต้นไม้ มาจตุจักรซื้อต้นไม้กลับไปปลูกเป็นคันรถ พี่ทำอย่างนี้เดิมๆ เหมือนกันอยู่สองปีเต็มๆ แต่ว่ามีความสุขมากนะคะ นั่งทานข้าวคนเดียวในสวน จุดเทียนในสวนดอกไม้สีขาวที่เราปลูกไว้ แล้วนั่งดื่มไวน์ พอถึงเวลาเข้านอนก็ขับรถกลับคอนโดฯ ที่อยู่ใกล้ๆ กัน แล้วหลับอย่างมีความสุข"

จนกระทั่งลูกสาวตามตัวกลับกรุงเทพฯ 
"ลูกสาวพี่โทรมาบอกว่า คุณแม่ขา กลับเข้ากรุงเทพฯ ได้แล้วนะคะ  คุณแม่จะเป็นชาวนาเหรอคะ"

"เราก็กลับมา กทม. แบบโทรมๆเลย พอกลับมาถึง กทม. ทุกคนก็บอกว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเพียรทำมาเกือบสิบปี กำลังจะหายไปนะ"
 
"พี่ก็เลยกลับมาเปิดร้านที่กทม.อีกครั้ง ในซอยเอกมัย ทำอยู่สามปี แต่ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่าง
ลูกน้องต่างก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น"

 
คุณเลิฟบอกกับเราว่า "สมัยก่อนเรามีผู้ช่วยที่รู้ใจ เหมือนกับมือซ้าย มือขวา คอยดูแลแทนเรา เราไว้ใจได้
แต่ตอนนี้ก็เขาต่างก็แยกย้ายกันไป อีกอย่างคือ เปิดที่เอกมัย มันจะมีปัญหาเรื่องโลเคชั่น 
รถติด ไม่มีที่จอดรถ ก็ทุลักทุเลมาปีกว่า พี่ไม่เคยทำอะไรที่เครียดขนาดนี้มาก่อน จะทำยังไงดี พยายามคิด ว่าจะต่อยอดอะไรดี"

ถึงตอนนี้คุณเลิฟเล่าให้เราฟังอย่างออกรสต่อไปว่า
"พี่มีความฝันว่าอยากเปิดร้านกาแฟ เพราะว่าตอนไปเวนิช ประเทศอิตาลี เจอร้านกาแฟอยู่ร้านนึงร้านเก๋มาก 
มีคุณลุงแก่ๆ 70กว่า เป็นเจ้าของ คั่วเอง ชงเอง ทำอะไรเองทั้งหมด เวลาพี่ไปเวนิสก็จะแวะไปหา เอาของไปฝาก 
ซื้อเครื่องเบญจรงค์ไปฝากภรรยาของแก เพื่อผูกมิตรด้วยหวังว่าซักวันหนึ่งจะขอให้แกสอนชงกาแฟให้พี่"

คุณเลิฟหัวเราะพร้อมทั้งเล่าให้เราฟังต่อไปว่า "วันนึงพี่ไปขอแกเรียน แกตอบกลับมาว่า ชาร์จแพงมากนะ
คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณหนึ่งล้านห้าแสนบาท พี่บอกว่าพี่ไม่เรียนดีกว่า ตอนนั้นก็พยายามหาว่ามีที่ไหนสอนบ้าง เพราะพี่คิดว่าพี่จะต้องเป็นนักคั่วกาแฟให้ได้ เพราะว่าทำแล้วมีความสุข

จนไปอีกที พี่กลับไปหาลุง ปรากฏว่าพี่รู้สึกแย่มาก เพราะแกขายร้านไปแล้ว ลุงคืออาจารย์ในฝันของเรา
เราก็เพียรพยายามไปหา จนได้เจอตัวแก ก็ได้ทราบว่าขายไปเฉพาะร้าน แต่โรงงานยังอยู่ 
พี่ไปบอกลุงว่าอยากเรียนมาก เพียรมาหามาเจ็ดแปดปี เพราะว่าอยากเรียนมาก แต่ล้านห้าคงเรียนไม่ไหว 
ลุงแกมองหน้า แล้วถามเราว่า มาอยู่กี่วัน เราตอบว่าอาทิตย์นึง แต่ถ้าอยากให้อยู่สองอาทิตย์ก็ได้
ลุงแกบอกว่าโอเค พรุ่งนี้มาเรียน เราก็ถามไปว่าแล้วเท่าไหร่ "

แล้วคุณลุงตอบมาว่าไงคะ
"ลุงบอกว่า เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ค่ะ ลุงเองก็ต้องการหาผู้สืบทอด ลูกลุงก็ไม่ยอมเรียน ลุงจะสอนหลานของแกกับพี่ ซึ่งพี่คือลูกศิษย์คนที่สองในชีวิตของแก"

"แล้วเรียนกับแกกี่วันคะ" เราถาม 
"พี่เรียนกับแกได้เพียงสิบวันค่ะ  แกบอกพอแล้วพี่ทำเป็นแล้ว ไม่ต้องเรียนอะไรเพิ่มเติมแล้ว 
แล้วแกก็บอกมาว่า ให้พี่ไปซื้อเครื่องคั่วกาแฟ ยี่ห้อนี้ๆนะ เราก็คิดในใจว่าเครื่องแพงจัง เลยพยายามหาข้อมูลต่อไปว่ามีที่ไหนขายเครื่องคั่วกาแฟแบบนี้อีกบ้าง เลยไปเจอยี่ห้อนึง เป็นของไต้หวัน"

"ที่นี่ทำให้พี่ได้เจออาจารย์อีกคนที่เจ๋งกว่าเป็นคนจีน เชื้อสายอินโดนีเซีย ตระกูลของเขาคั่วกาแฟมานานมาก พี่ก็ไปสั่งเครื่องคั่วกาแฟที่เขา เจ็ดปีที่แล้วนะคะ ราคาเป็นล้าน " 

กับชีวิตที่ต้องเจอมรสุม ปิดกิจกรรมทั้งหมดที่กรุงเทพฯ แล้วไปนั่งเฉยๆ ที่เขาใหญ่อยู่สองปี
จนใครๆ เขานึกว่าคุณเลิฟเสียชีวิตไปแล้ว เพราะว่าไม่ได้ติดต่ออะไรกับใครเลย ออฟฟิศที่กรุงเทพฯก็ไม่มีใครอยู่อีเมล์มาก็ไม่ตอบ แต่แล้วคุณเลิฟก็กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง

"พี่ก็ไปไต้หวัน ไปหาเขาบอกจะสั่งแล้วนะ เขาบอกมารุ่นที่สั่งมันตกรุ่นไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีขาย
รุ่นที่มีอยู่นี่ คือ ต้องคูณสาม จากราคาเดิม พี่ก็ตกใจ แต่ก็ขอเรียนคั่วกาแฟกับเขาไปก่อน หัดกับเครื่องใหม่ จนกระทั่งพี่ถามว่าต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ เขาก็คิดเราในราคาเดิม พี่ดีใจมาก"

"จากนั้นก็เริ่มศึกษาการคั่วกาแฟ คั่ว คั่ว คั่ว ทุกวัน สั่งเมล็ดกาแฟมาจากทุกสารทิศ มาลองคั่วดู
เราซุ่มคั่ว แล้วก็ทดลองจนตอนนี้ที่ร้านมีมากกว่า 50 ชนิด ซึ่งคนในวงการต่างก็ทราบดีว่า เมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดอยู่ที่ร้านของพี่ พี่คั่วไปศึกษาโปรไฟล์ไป เพราะว่าแต่ละพื้นที่มันจะไม่เหมือนกัน  สนุกมาก"

"แล้วจากที่เรามีโอกาสได้สัมผัสกับคุณครูทั้งสองท่านนี้ แตกต่างกันไหมคะ" เราถาม
"ต่างค่ะ ทั้งสองท่านมีเทคนิคและเคล็ดลับต่างกัน ที่ไต้หวัน เน้นแบบโฮมเมด แก้วต่อแก้ว รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิขณะคั่ว แต่ในขณะเดียวกันที่อิตาลีให้ทำไปเป็นจำนวนมากทีเดียวเลย"
 
 
"พี่เลยกลับมาทำร้านกาแฟที่เอกมัย เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องคั่วกาแฟ และมีโครงการที่จะทำร้านกาแฟร่วมกันกับหน่วยงานหนึ่งอยู่ และนอกจากนั้นกำลังจะเปิดโรงเรียนสอนคั่วกาแฟ เป็น Coffee Academy โดยเอาหลักสูตรและคุณครูมาจากเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี ด้วยค่ะ"

อาลแบร์ กามูรฺ์ นักเขียน และนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า
ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้น ประกอบด้วย 4 อย่าง คือ
อยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง พ้นจากความทะเยอทะยานอยาก
ทำงานสร้างสรรค์ และรักใครสักคน
นั่นคือคุณเลิฟหาทิศทางชีวิตเจอแล้ว
เส้นทางชีวิตที่อยู่อย่างมีความสุข

"พี่ตื่นเช้ามาบดกาแฟทานเอง เป็นสุนทรีย์ของชีวิต เป็นการทำสมาธิไปด้วย" 
"ส่วนที่ร้านเราจดไว้หมดว่าลูกค้าที่ร้านชอบรสชาติแบบไหน เข้มมาก เข้มน้อยในหนึ่งถ้วยนี่มีแปดกรัม เราสามารถทำให้ได้หมด"

"แล้วโครงการในอนาคตนี่จะขยายร้าน ขยายสาขาไหมคะ" เราถามคุณเลิฟ

"ไม่ค่ะ พี่ไม่อยากทำร้าน แต่อยากทำโรงงานคั่วกาแฟ อยากทำโรงเรียน เพราะอยากกจะเออรี่  รีไทร์ เร็วๆ
ที่ร้านมีกาแฟที่เป็น Top Ten ของโลก ซึ่งตอนนี้เรามีกาแฟพันธุ์ปานามา เกอิชา ซึ่งแพงที่สุด ดีที่สุด  
เป็นสายพันธุ์ปลูกที่ปานามา โดยครอบครัวๆ หนึ่ง แบบชาโตว์ไวน์"

"จริงๆแล้ว ราคาจะเริ่มที่ 80 บาทนะคะ กาแฟชะมดที่ว่ากันว่าแพงนักแพงหนา เราก็ขายได้ในราคาที่ไม่แพงอย่างที่คิด เพราะว่าเราได้มาในราคาที่ไม่แพง ทำให้สามารถขายในราคา 20,000 บาทต่อกิโลกรัมได้ ทำให้ไม่ต้องขาย 50,000 บาท เหมือนที่อื่น"

 "แล้วกาแฟไทยล่ะคะ "  เราถาม
 "ถ้าของไทยที่เชียงราย คือผาอี้ กับปางขอน สองที่นี่จะดีที่สุด  พี่ชิมกาแฟจนรู้หมดว่าอะไรเป็นอะไร
 ทานแบบเดียวกัน ไม่เปลี่ยนเลยสองอาทิตย์ เพื่อจำรสชาติ จำสี จำกลิ่น เหมือนไวน์"

 "แล้วจริงๆแล้ว พี่เลิฟชอบกาแฟแบบไหนคะ" เราถามต่อ
"พี่ชอบทานเอสเพรสโซ่ค่ะ พี่เป็นคนติดกาแฟมาก วันไหนไม่ได้ทานจะหงอย ซึม ง่วงนอน แต่ว่าตอนเช้าพี่จะทานกาแฟอ่อน  เพราะจะเป็นการฝึกจำรสชาติ เหมือนกับเป็นงานที่ต้องทำตอนเช้า ตื่นมาต้องทาน ต้องชิมหนึ่งเหยือก"

"พี่เคยคิดไว้ว่าตอนเกษียณ จะเปิดร้านกาแฟเล็กๆ มีลูกค้าประจำซักร้อยคน เราก็คั่วกาแฟ แล้วก็ให้คนเอาไปส่ง เราไม่ต้องเจอใคร ถ้าอยากสั่งก็สั่งทางอินเตอร์เน็ตเอาเอง"

คุณเลิฟพูดยิ้มๆ แบบทีเล่นทีจริง 

"ตอนที่อยู่เขาใหญ่ พี่หาตัวเองไม่เจอ ขาดทุนที่เอราวัณกว่าสิบล้าน ซื้อที่สิบกว่าไร่ที่เขาใหญ่ มีพาร์ทเนอร์ แต่ก็ไม่ได้ทำ ขายไปหมดแล้ว"
"ตอนอยู่ที่เขาใหญ่นี่นั่งเฉยๆ ก็มีความสุขแล้ว ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น สองปีที่กลับมาได้เปลี่ยนความคิดของพี่ไปเยอะมากเหมือนกัน พี่ใจเย็นขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น สมัยก่อนเป็นคนใจร้อนมาก คิดเร็วทำเร็ว เวลาไม่ได้ดั่งใจจะหงุดหงิดมาก แต่ว่าพอมาถึงตอนนี้ พอเวลาเกิดปัญหา จะไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว มันก็ผ่านจริงๆ"

"ตอนนั้นพยายามจะเซ้งร้านที่เอกมัย ก็ไม่มีใครเซ้งนะคะ เครียดมาก เปิดร้านอาหารไม่เคยเป็นอย่างนี้
แต่พอมาขายเครื่องคั่วกาแฟ เครื่องละแสนสองแสน นี่ก็เป็นทางออกที่ดีของชีวิตอย่างหนึ่งของพี่"



"แล้วร้านที่เขาใหญ่ล่ะคะ" เราถาม
"ที่เขาใหญ่นั้นที่ต้องเลิกไป ก็เพราะว่า เราไม่มีเวลาไปดูแลได้อย่างเต็มที่ ลูกน้องพอเราไม่ได้ไป มันก็เละ จนกระทบกับร้านที่กรุงเทพฯ เราก็เลยรื้อที่เขาใหญ่ทิ้ง  สาเหตุที่รื้อทิ้งเพราะว่าเรามีความคิดที่จะเอาที่ตรงนั้นมาทำโปรเจคส่วนตัวเหมือนกัน ออกแบบเรียร้อยแล้วด้วย แต่พอมาศึกษาดูจริงแล้วนี่ พบว่าความเป็นไปได้ทางธุรกิจน้อยมาก"

"แล้วจะมีโครงการทำอะไรคะ" เราถามต่อ
"พี่ก็เลยหยุกพักไว้ก่อน แล้วเริ่มเขียนแบบใหม่ ตั้งใจว่าจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเรา
แล้วอีกสองปี พี่จะกลับไปอยู่ที่นั่น พี่จะเริ่มงานกาแฟแบบเป็นเรื่องเป็นราว เพราะว่าโปรเจคที่เขาใหญ่ที่จะทำ พี่ต้อง pay off ทุกอย่าง เลยต้องทำอย่างปลอดภัย study ให้ดีดี พี่จะไม่ทำคอนโดแล้ว พี่จะทำบ้านแฝด สไตล์อิงลิช การ์เด้น เป็นทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ในสวนสวย เป็นบ้านสามชั้น มีประมาณสี่ห้องนอน มีสิบห้าตึก สามสิบยูนิต ห้าไร่ แต่มีที่งอกเชิงเขาอีกเป็นสิบไร่ค่ะ"

คุณเลิฟกล่าวอย่างภาคภูมิใจต่อไปว่า "และฝันของพี่อีกอย่าง คือ ที่ตรงนั้นจะมีโรงเรียนสอนคั่วกาแฟด้วย
มีห้องแลปที่รวบรวมเมล็ดกาแฟทุกสายพันธ์ของโลกมาไว้ที่นี่ แต่ไม่ปลูกเอง เพราะพื้นที่เขาใหญ่ไม่เหมาะที่จะปลูกกาแฟ ถ้าจะให้ดีต้องมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตรขึ้นไป มีอุณหภูมิและความความชื้นที่พอเหมาะ ต้องปลูกใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อไม่ให้แสงจัดมากเกินไป มีฝน มีแดด ซึ่งเชียงรายเหมาะที่สุด
พี่เคยคิดว่าเราจะสอนความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกาแฟ สอนเรื่องการคั่วกาแฟจริงๆ สอนการชงกาแฟ ทั้งจากเครื่องเอสเพรสโซ่ และแบบอื่นๆ"

คุณเลิฟเล่าให้เราฟังต่อว่า "ตัวพี่เองเป็น single mom มีลูกสาวหนึ่งคน อายุ 23 ปี จบจากมหิดล อินเตอร์ กำลังจะไปเรียนต่อด้านแฟชั่นที่มิลาน

"ทำไมถึงเลือกที่อิตาลีคะ" เราถาม
"ที่เลือกอิตาลี มีความเป็นเอเซียสูง มีความเป็นครอบครัว ตอนแรกเขาอยากจะไปอังกฤษ แต่ก็บอกเขาไปว่า ลองไปดูที่อื่นด้วย จะได้มีคัลเจอร์ใหม่ๆ บ้างน่ะคะ"
 

คุณเลิฟบอกว่า "พี่ชอบอิตาลี เป็นเหมือนกับบ้านหลังที่สองก็ว่าได้ มีเพื่อนเยอะ เวลาไปก็จะไปอยู่ตามไวน์เนอร์รี่ นั่งร้านกาแฟ อยู่แถวเซียนน่า ไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่ค่ะ

"ลูกสาวพี่นี่ พี่อุ้มท้องออกจากบ้านแฟนตั้งแต่ท้องได้สี่เดือนนะคะ ตอนนั้นอายุพี่ยี่สิบสามเอง เราไปนั่งคุยกับแฟน กับแม่เขา คุณแม่ของสามีเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขามาก แม่เขาจะตัดสินใจทุกอย่าง
เราก็คุยกับเขาอย่างเรียบร้อย ทำไมหนูถึงอยู่ไม่ได้ หนูอยากเลิกให้สงบที่สุด หนูท้อง หนูอยากกลับบ้าน
แต่จะกลับไปแบบตัวเปล่าไม่เอาอะไรเลย กุญแจรถอยู่ตรงนี้นะคะ กุญแจบ้านใส่ซองเตรียมไว้ให้แล้ว"

คุณเลิฟเล่าให้เราฟังเหมือนกับมันเพิ่งผ่านมาไม่นานมานี่เอง

"เราตกลงกันว่าจะช่วยกันเลี้ยงลูก เวลาที่ลูกโตมา จะได้เป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตที่ดี เราจะไม่ทะเลาะกันให้ลูกเห็น ถ้าอยากจะมารับพาไปไหนก็มาได้เลย ลูกของพี่เลยเกิดมาอย่างที่ว่ามีญาติทุกคนห้อมล้อม เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง "

"จากนั้นพี่ก็มามีครอบครัวใหม่ตอนน้องเจนลูกสาวพี่ได้ขวบครึ่ง ส่วนพี่อายุยี่สิบหก  ซึ่งตัวเราเองนั้นมีความเป็นศิลปินสูง มีความคิดเป็นของตัวเอง พอได้มาอยู่กับคุณผู้ชายคนนี้ เลยต้องมีการปรับตัวอย่างขนานใหญ่ 
เขามีตำแหน่งทางการเมืองด้วยไงคะ เราก็ต้องมาคิดว่าเมื่อไหร่เขาจะได้ตำแหน่งอย่างที่หวัง เมื่อไหร่เขาจะประสบความสำเร็จ แล้วเราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง เลยกลายเป็นการใช้ชีวิตที่มีประโยคคำถามตลอด"

"เขาเป็นลูกคนจีน เป็นนักการเมือง เป็นศิลปินด้วย เป็นคนที่อยู่บนแสงไฟสีนุ่มๆ ส่วนเราชอบฟังเพลงแจ๊ส
ร้องเพลงได้ ชอบแฟชั่น เหมือนกับชีวิตจะอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ฉูดฉาดตลอด"

คุณเลิฟเล่าให้เราฟัง
"เรามานั่งคิดว่าชีวิตเราหายไปไหน ทำไมเราต้องเปิดไฟนีอนตลอดเวลา ทำยังไงเราถึงจะกล้าพูดกับเขา
แล้วในที่สุดก็เป็นเรื่องของการหนีเหมือนเดิม หนีในความคิดที่ว่า เราให้คุณทุกอย่างแล้วนะ
เราต้องขอลาแล้วนะ ชีวิตเราอยู่กับไลฟ์สไตล์แบบนี้ไม่ได้ บางทีเราอยากจะจุดเทียนทานข้าวก็โดนว่า 
กลัวไฟจะไหม้บ้าน โดนดุอยู่ตลอดเวลา หลังจากอยู่ด้วยกันหกปี ก็แยกตัวออกมาค่ะ"

คุณเลิฟกลั้นหัวเราะ
"พอมาอยู่คนเดียวอีก ก็เริ่มมีคนมามอง มาจีบ แต่เราก็ยังไม่กล้าที่จะแต่งงาน ไม่รู้จักตัวเอง จนกระทั่งมีแฟนคนที่สอง เรารู้สึกได้แล้วว่า จริงๆแล้ว ความรัก มันคือความห่วงใย"

"เราเริ่มแคร์คนอื่น  สื่อสารกับคนอื่นมากขึ้น รู้จักที่จะขอโทษ การสื่อสารที่ทำให้คนอื่นเข้าใจนี่มีความสุขมากนะคะ"

คุณเลิฟบอกเรา
"ตอนนี้พี่โอเคมาก" คุณเลิฟฟูดยิ้มๆ แต่สมัยก่อนหยิ่งยโสมาก ขณะเดียวกันก็วิ่งหาความรักตลอด
อาจจะเป็นเพราะว่าเรามาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ด้วยมั้งคะ ความรักอยู่ที่ตัวของเรา รักตัวเอง ให้เกียรติคนอื่น ฟังความรอบข้าง ถ้าเรารู้ว่าผิด เราต้องขอโทษเลย แล้วเราก็จะอยู่อย่างมีความสุข"


"เราบอกกับแฟนคนที่สองไปว่า เพิ่งรู้ตัวเองนะว่าฉันรักเธอ แต่ไม่ใช่แปลว่าอยากอยู่ด้วยนะ เพราะว่าความรักของพี่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อใดที่เรานึกถึงเขาจะมีความสุข"

"แล้วเราก็พบว่าในที่สุดแล้ว ผู้ชายที่เจ้าอารมณ์ เสียงดัง เป็นลูกคนจีน จะกลายเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่เราเคยเจอ 
เขาเป็นลูกผู้ชาย แต่ไม่ใช่ที่จะมานั่งจุดเทียนแบบเรา"

"พี่เป็นคนให้เกียรติคน ความจริงใจ มีความซื่อสัตย์ กล้าที่จะพูดความจริงในทุกๆ เรื่อง อันนี้สำหรับพี่ พี่คิดว่า มันคือเครดิตของชีวิต ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างน่าเชื่อถือ มีความศรัทธาจากตัวเอง และจากผู้อื่นค่ะ"

คุณเลิฟบอกกับเราในที่สุด 
 เอสเพรสโช่แก้วที่สองกำลังจะหมดลง พร้อมกับเสียงเพลง Live and learn  ลอยมากระทบกับความรู้สึก 

"…..เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป 
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน 
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน 
อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด....."


คุณเลิฟบอกกับเราก่อนจากกันในวันนั้นว่า
"อยากให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวเลย เพราะว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวนั้น เหนื่อยยากกว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยความรักมากมายหลายเท่านัก "

และนี่คือชีวิตของสุภาพสตรีคนหนึ่งทีใช้พลังแห่งความรัก เป็นพลังในการดำเนินชีวิต
She loved therefor She is….
คุณเจนจิรา กมลเศวตกุญ
 

LastUpdate 10/03/2557 16:29:41 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 11:19 am