ถ้าจัดผู้หญิงแต่ละคนไว้ในโทนสีต่างๆ โดยแยกตามบุคลิกที่พบเห็น แขกวีไอพีของเราในวันนี้คงต้องจัดเธอไว้ในโทนสีร้อนอย่างแน่นอน เธอมาพร้อมกับความเซ็กซี่ และบุคลิกสาวมั่น จนใครหลายๆ คนอาจจะมองว่าเธอหยิ่งและเข้าถึงยาก แต่...ตัวตนที่แท้จริงของเธอเป็นเช่นไร จะเป็นอย่างภาพที่เห็นหรือไม่ เราอยากให้คุณอ่านบทสัมภาษณ์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วค่อยสรุป !
สาวมั่นคนนี้ก็คือ คุณเล็ก - ณพาภรณ์ ณรงค์เดช ด้วยความที่เธอเป็นถึงหลาน ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมปาร์คนายเลิศ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็น โรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศ ปาร์ค (Swissotel Nai Lert Park Hotel) และเป็นทายาทรุ่นที่ 4 จึงทำให้ เหล่าบรรดาไฮโซและคนที่รู้จักเธอแบบผิวเผิน อาจจะยังไม่รู้จักตัวตนของเธอจริงๆ ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้จึงทำให้คนอื่นมองเห็นเธอแต่ภายนอก แต่ไม่กล้าที่จะเข้ามาสนิทด้วย เพราะคิดว่าเธอหยิ่งและเป็นคนเข้าถึงได้ยาก วันนี้ “เอซีนิวส์” ขอพาคุณไปทำความรู้จักกับเธอคนนี้กันค่ะ เพราะทุกช่วงของการสัมภาษณ์จะมีความเข้มข้น บ่งบอกความเป็นตัวตน อย่างที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนว่า จากสาวที่เคยเหวี่ยง.....วีน.... เธอได้กลายมาเป็นนักบริหารที่มีคุณภาพ
คุณเล็ก เป็นศิษย์เก่าจากโรงเรียนมาแตร์เดอี 6 ปี พอจบระดับประถมศึกษา ที่บ้านก็ส่งไปเผชิญโลกที่ประเทศอังกฤษถึง 10 ปี ตั้งแต่เริ่มเข้า High School (มัธยม) จนจบมหาวิทยาลัย คุณเล็กเล่าว่า
“หลักจากที่เล็กจบ High School ก็เรียนต่อมหาวิทยาลัย เล็กเลือกเรียน Hotel Management จริงๆ ที่บ้านเล็กไม่ได้บังคับว่าคุณจะต้องเรียนอะไร คือคุณชอบอะไรอยากเรียนอะไรก็เรียนแต่ขอให้จบ จะจบคาบเส้นก็ไม่ว่า แต่ที่เล็กเลือก Hotel Management เพราะคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรม แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจบมาแล้วจะช่วยที่บ้านหรอกค่ะ คือด้วยความที่เล็กเป็นคนไม่ค่อยรักในการเรียนและไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ จึงคิดว่าถ้าเรียนเกี่ยวกับโรงแรม ยังไงก็จบแน่นอน เพราะมีคนช่วยเยอะ การบ้านถ้าทำไม่ได้ก็จะส่งมาให้จีเอ็มที่โรงแรมทำให้ (หัวเราะ)”
“เล็กเรียน Hotel Management อยู่ประมาณ 3 ปี ก็จบปริญญาตรี แต่ก็ยังไม่อยากจะกลับเมืองไทย ยังอยากจะเที่ยวต่อ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบเที่ยวก็เลยหาข้ออ้าง ว่าอยากจะเรียนต่อด้านแฟชั่น บวกกับตัวเองเป็นคนที่ชอบแฟชั่น ชอบการแต่งตัว เลยตัดสินใจไปเรียนต่อที่พาร์สัน สคูล ออฟ ดีไซน์ ในนิวยอร์ก ตอนเรียนที่นิวยอร์กมีความสุขมาก แต่ก็เรียนอยู่ได้ประมาณ 5 เดือน เกือบจบแล้ว เพราะคอร์สมันเรียนแค่ 6 เดือน คือตอนนั้นคุณแม่โทรไปบอกว่าที่โรงแรมกำลังจะเปลี่ยนเชน เพราะจะหมดสัญญา 20 ปี กับฮิลตันที่เคยทำไว้ คุณแม่อาจจะเห็นว่าเล็กจบ Hotel Management มาเลยอยากให้เล็กกลับไปช่วย ”
“เล็กก็ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ 2-3 วัน ว่าจะเอายังไง จะกลับไปช่วยที่บ้านหรือจะเรียนต่อ คือเปิดคำถามกว้างๆ ให้ตัวเองได้คิด สุดท้ายเล็กก็ตัดสินใจโทรกลับไปบอกคุณแม่ว่าจะกลับไปช่วยนะ ตอนนั้นเล็กคิดว่าเล็กใช้เงินพ่อแม่มาพอแล้ว เที่ยวมาพอแล้ว ช้อปปิ้งเต็มที่แล้ว เราเกิดมาตรงนี้โชคดีขนาดไหน ที่มีคนปูพรมมาให้เราอยู่แล้ว และทำไมเราต้องทิ้งตรงนี้ไป คือตอนนั้นโชคดีที่เรายังคิดได้ คือการเปลี่ยนเชนโรงแรมใหม่มันไม่ได้เปลี่ยนกันทุกวัน การเปลี่ยนเชนโรงแรมมันเหมือนกับการเริ่มต้นทำโรงแรมใหม่ และในแต่ละครั้งของการเปลี่ยนเชนมันไม่ได้ใช้เวลาแค่เดือนสองเดือน มันก็ต้องทำสัญญากันอย่างน้อย 5-10 ปี เล็กก็เลยคิดว่าเรากลับมาเรียนรู้ตั้งแต่ศูนย์เลยดีกว่า คือเรียนรู้ว่าการเปลี่ยนเชนเป็นยังไง การจะคุยจะเจรจากับเชนใหม่เป็นยังไง คือตอนนั้นคิดว่าเดี๋ยวกลับมาเรียนรู้ก่อนแล้วค่อยกลับไปเรียนใหม่ก็ได้”
“พอกลับมาก็เริ่มต้นจากการหาเชนก่อนเลย คือเริ่มไปคุยกับเชนต่างๆ และตอนนั้นก็มาสรุปที่สวิสโซเทล พอได้เชนแล้วก็ต้องมาคุยกันเรื่องอินทีเรีย ว่าจะปรับปรุงโรงแรม จะตกแต่งโรงแรมใหม่ อะไรยังไง และไดเรคชั่นจะเป็นยังไง เหมือนเราสร้างโรงแรมใหม่เลย”
“ช่วงที่กลับมาช่วยที่บ้าน เล็กอายุแค่ 22 ปี ด้วยความที่ยังเด็กช่วงนั้นจึงยังไม่ได้จริงจังกับการทำงาน ยังสนใจเรื่องเที่ยว ปาร์ตี้สังสรรค์ แฟชั่น ความสวยความงามมากกว่า อย่างเวลามาทำงานเนี่ย ตัวเรามาถึงโรงแรมแล้วแต่สมองเรายังอยู่บนที่นอน ยังอยู่กับเรื่องการแต่งตัว ยังคิดว่าวันนี้จะไปงานปาร์ตี้หรือไปเที่ยวที่ไหน และตอนมาทำงานก็จะแต่งตัวสวยเหมือนมาเดินแบบ และก็มาเดินไปเดินมาเหมือนโรงแรมคือแคทวอล์คของเรา (หัวเราะ) คือเป็นแบบนี้อยู่ 5-6 ปี มันเหมือนว่าเรายังเด็ก เหมือนเรายังหาตัวเองไม่เจอ”
“ก็คือทีแรกเล็กคิดว่าจะกลับมาเมืองไทยแป๊บเดียว คือมาช่วยแล้วจะกลับไปเรียนต่อ เพราะเล็กไม่ชอบอยู่เมืองไทย เล็กชอบความอิสระที่โน้นมากกว่า อยู่โน้นเราอยู่ไกลจากพ่อแม่ เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ จะแต่งตัวยังไงก็ได้ คือเราเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งของที่นั้น ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร ที่บ้านเราเป็นยังไง และไม่มีใครว่า ไม่มีใครคอยมานั่งมองว่าเราทำตัวยังไง แต่งตัวยังไง แต่พอเรากลับมาทำงานตรงนี้แล้วเราก็อยากจะทำให้มันเสร็จ คือตอนนั้นอินทีเรียก็ยังไม่เสร็จ ไดเรคชั่นก็ยังไม่เรียบร้อย และเล็กเป็นคนที่ไม่ชอบค้างอะไรไว้ คือทำอะไรแล้วก็อยากจะทำให้มันเสร็จไปเลย คือเล็กก็อยู่มาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็ 10 ปีแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปเรียนต่อ และช่วงที่ยังไม่จริงจังกับการทำงานนะ เล็กจะเป็นคนที่ขี้วีน ขี้โมโห คือใครทำอะไรไม่ถูกใจก็จะด่า คือช่วงนั้นเหมือนนางมาร ใครทำอะไรไม่ถูกใจโดนหมด”
“แต่เมื่อช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา เล็กเริ่มที่จะมาจริงจังกับการทำงานมากขึ้น คือเล็กคิดได้ว่าควรพอแล้วควรจะต้องทำอะไรจริงจังได้แล้ว และก็แปลกที่นิสัยขี้วีนขี้โมโหของเราก็ลดลง เริ่มมีเหตุผลมากขึ้นด้วย อาจจะด้วยวัยที่โตขึ้น อายุมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่ามันอิ่มตัวแล้ว แต่ใครจะมาสั่งเล็กไม่ได้ จะมาสั่งให้เล็กหยุดเที่ยวนะ เล็กทำโน้นนะ ทำนี่นะ ไม่ได้ คือใครมาบังคับเราไม่ได้ ถ้าจะหยุดมันต้องเบื่อและหยุดไปเอง เล็กคิดว่าเล็กโชคดีที่ที่บ้านเล็กซัพพอร์ตกันเต็มที่ พ่อแม่ไม่เคยที่จะตีกรอบ คือจะเป็นอิสระกับลูกๆ มาก อยากทำอะไรทำ คือให้เราเรียนรู้ชีวิตในโลกความเป็นจริงด้วยตัวเอง ทำให้เรารู้จักการเสียใจ รู้จักแพ้ การไม่ประสบความสำเร็จเป็นยังไง และยังทำให้เรารู้จักค่าของเงิน หรือถ้าจะคบกับใครคือได้ทุกระดับ เล็กไม่ได้มีเพื่อนแค่นามสกุลใหญ่ๆ เท่านั้น คือเล็กคบคนได้ทุกระดับ”
“คือเล็กคิดว่าพ่อแม่เล็กสอนมาให้รู้จักการติดดิน อย่างถ้าเล็กจะไปเซ็นทรัลชิดลม เล็กก็เดินไปตรงสุขุมวิท พนักงานที่เห็นก็จะถามว่าคุณเล็กเดินไปได้ด้วยเหรอ ทำไมไม่นั่งรถไป เล็กก็กลับมาคิดนะว่า เราก็มีขา ทำไมเราจะเดินไปไม่ได้ (หัวเราะ) แต่เล็กก็เข้าใจว่าด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นคุณหนู เป็นหลานท่านผู้หญิง ทุกคนก็จะมองในอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเกิดใครได้เข้ามาคุยได้มาใกล้ชิดเรา ก็จะบอกนะว่าเราไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดไว้”
“พอเริ่มเข้ามาทำงานอย่างจริงจังก็อยากจะรู้ถึงการทำงานของฝ่ายต่างๆ เลยขอมาฝึกงานที่โรงแรม เล็กเริ่มฝึกตั้งแต่การเป็นแม่บ้าน เป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นพนักงานต้อนรับ ฯ ฝึกได้ประมาณ 4 เดือน ก็รู้สึกว่ามันไม่เวิร์กแน่ เพราะเล็กมาฝึกโรงแรมที่เป็นของครอบครัวและทุกคนก็จะเห็นว่าเป็นคุณหนูก็ไม่กล้าที่จะให้ทำอะไร เล็กเลยตัดสินใจว่าอยากจะไปฝึกงานที่โรงแรมในต่างประเทศ และพอดีคุณแม่มีเพื่อนทำโรงแรมในสิงคโปร์ จึงฝากให้ไปฝึกงานที่นั้น”
“คือเล็กไปฝึกตั้งแต่การเป็นแม่บ้านทำความสะอาด เด็กเสิร์ฟ และงานบริการต่างๆ เล็กไปฝึกที่โรงแรม โฟร์ซีซั่นส์ สิงคโปร์ ฝึกอยู่ประมาณ 4 เดือน และก็ได้เรียนรู้งานบริการสมใจ ที่นั่นเราเป็นพนักงาน เราไม่ใช่คุณหนู เราก็จะโดนใช้อย่างเต็มที่ คือเข้าใจเลยว่างานบริการมันเป็นงานที่ต้องมีใจรักจริงๆ ถ้าไม่มีใจรักคงทำไม่ได้แน่ เพราะทุกอย่างต้องใช้ความอดทน ต้องอดทนต่อความกดดันทั้งคนที่เป็นหัวหน้า และอารมณ์ของแขกที่เข้ามาพัก”
“หลังจากที่ได้เรียนรู้งานบริการอย่างเต็มอิ่ม และกลับมาทำงานที่โรงแรม ก็ทำให้เล็กรู้ว่าต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ จากสมัยก่อนที่เป็นทำงานกันแบบเจ้านายลูกน้อง ก็กลายมาเป็นการทำงานแบบเพื่อนร่วมงาน แบบครอบครัว มีการดูแลเอาใจใส่พนักงานในทุกระดับมากขึ้น และเวลามีประชุมก็เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น คือเราให้ใจเขามากขึ้น เพราะเล็กคิดว่าการให้ใจใครอย่างเต็มที่มันเป็นการลงทุนที่เปรียบเทียบกับมูลค่าไม่ได้ ถ้าเราทำงานด้วยใจ ให้ใจเขาอย่างเต็มที่ พนักงานเขาก็จะทำให้เรากลับมาอย่างเต็มที่เหมือนกัน”
“เล็กคิดว่าพนักงานเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดลูกค้ามากกว่าเรา จะรู้ว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร ลูกค้ามีความต้องการอะไร พวกเขาก็จะรู้มากกว่า การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานแบบนี้ ทำให้พนักงานกล้าที่จะเข้าหาและมาพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ภายในโรงแรมมากขึ้น”
ตัวตนที่ทุกคนมองไม่เห็น
“ที่บ้านเล็กจะมีคาแรคเตอร์ชัดเจนทุกคน คือ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ อย่างตัวเล็กเองตอนแรกที่กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ เล็กเห็นทุกคนเป็นเพื่อน เล็กเฟรนลี่กับทุกคนหมด แต่ก็นึกเสียใจเหมือนกันที่มารู้ทีหลังว่าคนเหล่านี้ที่เราคิดว่าเป็นเพื่อน เขาเอาเราไปนินทาลับหลัง ว่าทำไมแต่งตัวโน้นนี้ แต่พอต่อหน้าก็บอกว่าสวยอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คนพวกนี้เป็นคนในสังคม ถ้าต้องคบ เราก็คงคบแบบผิวเผิน แต่เพื่อนจริงๆ ของเล็กมีแค่สามสี่คน ที่คุยกันได้ทุกเรื่อง มากินข้าว มาเฮฮาปาร์ตี้ที่บ้านได้ แต่เล็กก็เข้าใจว่าคำชมมันไม่ไวเหมือนคำนินทา และเราเองก็ทำตัวให้เขานินทาเอง เช่นการแต่งตัวที่เล็กก็ไม่ได้ลดลงเลย”
เราถามเธอถึงคำจำกัดความของสาวเปรี้ยวในความเห็นของเธอ คุณเล็กบอกกับเราว่า “เล็กว่าคนจะเปรี้ยว ไม่ใช่แค่แต่งตัวเซ็กซี่ ก็เรียกว่าเปรี้ยว แต่คุณต้องเปรี้ยวออกมาจากข้างใน ทั้งท่าทาง ความมั่นใจ บุคลิกภาพ แต่ด้วยความที่เล็กเป็นหลานท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ช่วงแรกที่เล็กกลับมามีคนว่าเล็กเยอะมาก ว่านี่เหรอหลานท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ทำไมแต่งตัวแบบนี้ คนที่เขารู้จักคุณยายเขาก็พูดว่าแต่งตัวแบบนี้จะทำให้ตระกูลเสียชื่อเสียง ซึ่งเล็กได้ยินก็ฉุนเหมือนกัน แต่ก็กลับมาคิดและก็ถามคุณยายว่าที่เล็กแต่งตัวแบบนี้ทำให้ตระกูลคุณยายเสียหรือเปล่า คุณยาย ก็บอกว่าไม่ เราก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน แต่ว่านี่คือประเทศไทย นี่คือเมืองไทย โทนดาวน์ลงหน่อยก็ดี คือคุณยายพูดแค่นี้เล็กก็โอเคเก็ท ที่บ้านเล็กไม่ต้องพูดอะไรมาก ยิ่งพูดมากยิ่งไม่ฟัง จริงๆ แล้วคุณยายกับคุณแม่ของเล็กก็เปรี้ยว แต่ด้วยในยุคสมัยที่ต่างกันความเปรี้ยวของเราก็เลยไม่เหมือนกัน”
“เล็กเป็นคนตรง คิดตรง พูดตรง ไม่อ้อมค้อม รักใครเล็กรักจริง ให้ใจไปเต็มที่ อย่างเพื่อนบางคนมาถามว่าใส่ชุดนี้แล้วเขาดูเป็นไงดูดีหรือเปล่า เล็กก็จะตอบไปตรงๆ ถ้าเล็กคิดว่าเขาอ้วนก็จะบอกว่าอ้วน คือเล็กจริงใจไม่เสแสร้งแต่เขารับไม่ได้ เล็กก็งงว่าถ้ารับความจริงไม่ได้จะมาถามเราทำไม (หัวเราะ) คนที่รับไม่ได้ก็โอเคคุณอยู่ในโลกของคุณไปล่ะกันเราก็ไม่ต้องมายุ่งกันก็แค่นี้ แต่บางคนเขารับได้ซึ่งเขาก็ชอบจนทำให้เขารักเราเลยก็มี ยิ่งโตเพื่อนเล็กก็ยิ่งน้อยลง มันเหมือนตัดปัญหาออกไป เพราะแค่งานที่โรงแรมก็ทำให้เล็กปวดหัวมากพอแล้ว ถ้าจะต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องแบบนี้อีกเล็กไม่เอา เราคบกับคนที่เราพอใจที่จะคบดีกว่า”
“เล็กได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากคุณยาย ส่วนใหญ่คุณยายจะไม่ได้สอนเล็กตรงๆ แต่จะเล่าเรื่องคุณยายให้ฟัง คือให้คิดตามและบอกว่าอันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำ และสอนให้ใช้วิกฤตเป็นโอกาส อย่างเวลาที่ฝนตก คือตกหนักเลยเนี่ย คุณยายก็จะรีบไปสวนจตุจักร เล็กก็ถามว่าคุณยายจะไปทำไม คุณยายบอกว่าจะไปซื้อต้นไม้ คุณยายบอกว่าเวลาฝนตกต้นไม้จะราคาถูกลงเพราะคนจะไม่ค่อยไปซื้อของเวลาฝนตก และถ้าเราไปซื้อตอนฝนตกแม่ค้าเขาก็จะลดราคาต้นไม้ให้เราเป็นพิเศษ เพราะตอนฝนตกเขาจะขายไม่ค่อยได้ ซึ่งเล็กฟังแล้วก็คิดว่าคุณยายเก่งที่คิดเอาวิกฤตเปลี่ยนมาเป็นโอกาสได้ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็จะทำให้เราเอาไปใช้ในเรื่องใหญ่ๆ ได้“
สาวนักบุญ
“จริงๆ เล็กก็เป็นคนชอบทำบุญ แต่จะชอบทำบุญกับคนมากกว่า เช่น พวกเด็กด้อยโอกาส คนพิการ โรงพยาบาลสงฆ์ หรืออะไรที่เหมือนว่าเขาได้ตรงนั้นจริงๆ และก็คนจน คนในโรงแรม คือเล็กจะทำบุญกับคนใกล้ตัวก่อน คือเราต้องพึ่งเขาเพราะเขาเองก็ต้องพึ่งเรา อย่างตอนแต่งงานเล็กจะบอกในการ์ดเลยว่าเราไม่เอาของขวัญ เราขอเป็นเงินเพื่อจะเอาเงินไปทำบุญสร้างห้องน้ำให้กับโรงเรียนที่อยู่ต่างจังหวัดที่เขาไม่มีจริงๆ โรงเรียนที่อยู่ไกลๆ ที่คนเข้าไม่ค่อยถึง”
ชีวิตหลังการแต่งงาน
คุณเล็กเล่าให้เราฟังว่า “การตัดสินใจแต่งงานถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สุดในชีวิต ทุกคนที่รู้จักพอเขารู้ว่าเล็กจะแต่งงาน สิ่งแรกที่ทุกคนเป็นเหมือนกันคือ “งง” เพราะทุกคนจะเห็นเล็กเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่เปรี้ยว แต่งตัวเก่ง ไม่ชอบการตีกรอบ มีโลกส่วนตัวสูง ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ จะประกาศแต่งงาน ทั้งที่เพิ่งคบหาดูใจกันแค่ 3 สัปดาห์”
“เหตุที่ตัดสินใจแต่งงาน เพราะเล็กคิดว่าชีวิตเล็กเจอคนมาเยอะ คบคนก็เยอะ มันคงจะถึงเวลาที่จะพอแล้ว มันคงเป็นการอิ่มตัวในการคบคน และที่เลือกพี่กรณ์ (กรณ์ ณรงค์เดช) ถึงแม้เราจะคบหาดูใจกันแบบแฟนแค่ 3 สัปดาห์ แต่จริงๆ แล้วที่บ้านเราสนิทกันมาก พี่กรณ์เองก็เป็นเพื่อนของพี่สาว เราได้เจอกันบ่อย บวกกับเราเคยคบหาดูใจก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่คือตอนนั้นเล็กอยู่เมืองนอกพี่เขาอยู่เมืองไทย ด้วยความที่เราอยู่ไกลกันและส่วนตัวเล็กเองไม่ชอบที่จะคบใครแล้วต้องคุยแต่โทรศัพท์ ชอบที่จะเจอหน้ากันมากกว่า ช่วงนั้นเราก็เลยห่างๆ กัน แต่ก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน”
“หลายคนถามว่าแต่งงานแล้วทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม คุณเล็กตอบได้เลยว่า ไม่เปลี่ยนเลย ยังคงใช้ชีวิตตามแบบที่เคยทำ ที่จะเปลี่ยนก็คือมีคนนอนข้างๆ เพิ่มอีกคน เล็กคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่แต่งงานกับคนนี้ เพราะเขาไม่พยายามเปลี่ยนเราเลย เขาและครอบครัวรับในสิ่งที่เราเป็น รับการใช้ชีวิตของเราได้”
“ส่วนเรื่องลูก ถามว่าอยากมีมั้ย เล็กว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า เรื่องแบบนี้บังคับกันไมได้”
สาวนักธุรกิจ
คุณเล็ก นอกจากจะเป็นผู้บริหารโรงแรมที่เป็นมรดกของครอบครัวแล้ว เธอยังเป็นอีกคนที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยเริ่มจากความชอบส่วนตัวจนกลายมาเป็นธุรกิจ เธอมีธุรกิจร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ร้านชื่อ ‘คิกส์’ (KIKS) ที่แพลทินัม โซน 3 ชั้น 2 เป็นร้านเสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับผู้หญิง สไตล์ก็จะเปรี้ยวๆ มีทั้งเสื้อผ้าจากต่างประเทศและเสื้อผ้าที่คุณเล็กออกแบบประยุกต์และตัดขายเอง มีหลายคนถามว่าทำไมเธอไปเปิดร้านที่แพลทินัม
“คือเล็กไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ ไม่ได้ออกแบบเสื้อผ้าขึ้นมาเอง คงไม่สามารถไปวางขายตามพารากอนเหมือนกับช็อปเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ แต่ประตูน้ำเราสามารถนำเสื้อผ้าจากต่างประเทศ และสามารถนำเสื้อผ้าที่เราประยุกต์แบบขึ้นมาเองนำมาวางขายได้ และมันก็เวิร์กมาก”
นอกจากนี้เธอยังมีแพลนเปิดโรงเรียนสอนโยคะร่วมกับครูสอนโยคะชาวอินเดีย ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นกีฬาโปรดของเธอในตอนนี้ ยังไม่หมดเท่านี้ คุณเล็กยังคิดอยากให้ชื่อ “ปาร์คนายเลิศ” กลับมาเป็นตำนานอีกครั้ง โดยมีแพลนว่าจะพาร้านขนมกูร์มองดีสคาเฟ่แอนด์เบเกอรี่ ที่เป็นหน้าเป็นตาของโรงแรม ออกมาข้างนอกเพื่อให้คนทั่วไปได้ลิ้มลองความอร่อย ไม่ใช่แค่ลูกค้าของโรงแรมเท่านั้นที่จะได้ชิม และเธอยังมีโปรเจคที่จะขยายปาร์คนายเลิศไปที่หัวหิน และมีแพลนที่จะทำให้บ้านทรงไทยของคุณยาย (ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ) ที่มีอายุกว่า 100 ปี กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ มีของโบราณ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เพราะเธออยากให้ชื่อ “ปาร์ค นายเลิศ” เป็นตำนานที่คนรู้จักและเป็นที่จดจำ
“คือช่วงในสมัยคุณยายดูแลโรงแรม ชื่อปาร์คนายเลิศ ดังมาก เรียกได้ว่าใครๆ ก็รู้จัก แต่พอเวลาผ่านไป ก็เหมือนชื่อปาร์คนายเลิศเริ่มหายไป คือเด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จัก พอเล็กได้เข้ามาทำงานตรงนี้ เล็กก็อยากให้ชื่อปาร์คนายเลิศ ที่คุณยายสร้าง กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง คือเล็กอยากให้เป็นตำนานไปเรื่อยๆ ที่เมื่อเอ่ยชื่อปาร์ค นายเลิศ ทุกคนจะรู้จัก และเป็นแบรนด์ที่คนเชื่อถือ”
“ส่วนเรื่องธุรกิจร่วมกับทางบ้านคุณกรณ์ สามี คุณเล็กบอกว่าถ้าปีนี้คงไม่มีแน่ แต่ในอนาคตก็ยังไม่ทราบ ต้องรอดูกันต่อไป แต่ถ้าจะมีก็คงเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือไม่ก็เป็นธุรกิจโรงแรม”
และนี่คือเรื่องราวของ คุณเล็ก - ณพาภรณ์ ณรงค์เดช สาวมั่นครบสูตร ที่ไม่ได้ใช้องค์ประกอบของชีวิตเป็นทางลัดในการทำธุรกิจ เธอใช้ความมุ่งมั่น ความเป็นตัวเอง และเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ในการดำเนินชีวิต ซึ่ง “เอซีนิวส์” ขอให้คำจำกัดความว่าเธอคือ “สาวมั่นตัวจริง”
ข่าวเด่น