ทายาทกลุ่ม บมจ. เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น
ปัจจุบันนี้เราทราบกันดีว่าผู้หญิงมีความสามารถไม่แพ้ผู้ชาย ดังจะเห็นได้ว่ามีผู้หญิงเก่งๆในวงการต่างๆมากมาย หนึ่งในนั้นคงจะต้องรวม ดร.สายศิริ ศิริวิริยะกุล หรือ ดร.โจ้ ด็อกเตอร์สาววัยเพียง 27 ปี บุตรี นายแพทย์ประสงค์ ศิริวิริยะกุล รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อาจารย์ศิริรักษ์ ศิริวิริยะกุล รองอธิการบดีฝ่ายนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา / กรรมการ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของเธออยู่ที่ครอบครัวและทำทุกอย่างด้วยความสุข
เรียนเพื่อช่วยครอบครัว
ดร.สายศิริ เล่าว่าเมื่อสมัยเด็กๆ เธอก็เหมือนกับหลายๆคนที่มีพ่อแม่เป็นไอดอล ทำให้อยากจะเป็นคุณหมอเหมือนกับคุณพ่อ หรือไม่ก็เป็นอาจารย์เหมือนกับคุณแม่ แต่ด้วยความที่ทางบ้านมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยธุรกิจหลักคือโรงงานน้ำตาล ปัจจุบันในนาม กลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS Group ประกอบกับ การเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวและเป็นหลานคนแรกๆของตระกูล ทำให้คิดว่าต้องสานต่อธุรกิจของครอบครัว เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องเข้ามหาวิทยาลัย จึงได้เลือกเรียนกฎหมาย เพราะมองว่าความรู้ทางด้านกฎหมายจะสามารถนำมาช่วยงานที่บ้านได้ดี นอกจากนั้น ดร.โจ้ ยังบอกกับเราว่า “ ตอนเด็กๆ อยากเป็นหมอหรืออาจารย์ตามอย่างคุณพ่อคุณแม่ค่ะ และตอนมัธยมปลายก็เลือกเรียนสายวิทย์ เพราะคิดว่าจะเรียนหมอเหมือนคุณพ่อ คุณพ่อเป็นคุณหมอและเป็นอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯค่ะ แต่ว่าพอผ่านไปช่วงหนึ่ง โจ้มองว่าตัวเองเป็นลูกคนโตและเป็นหลานคนแรกๆของที่บ้าน บ้านเราก็มีธุรกิจครอบครัว ทำให้เรารู้สึกมีหน้าที่ต่อครอบครัวด้วย การที่เรียนกฎหมายก็จะกลับมาช่วยที่บ้านได้ดี แล้วมองว่าเป็นสิ่งน่าสนใจ ทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมาย ถ้าเราได้เรียนกฎหมาย แล้วเข้าใจจริงๆก็น่าจะดี ซึ่งการที่ตอน ม.ปลายเรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ แล้วหันมาเรียนกฎหมาย ก็จะได้หลักการคิดที่เป็นระบบของวิทยาศาสตร์มาช่วยด้วยในหลายๆส่วนค่ะ” และ ดร.โจ้ ก็ได้เรียนกฎหมายดั่งที่ตั้งใจไว้ โดยในระดับปริญญาตรี ศึกษาที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขากฎหมายธุรกิจ และจบการศึกษาด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยม ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ปรับตัวไม่น้อย
หลังจบปริญญาตรี ดร.โจ้ได้ช่วยงานที่บ้านระยะหนึ่ง ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่ University of Illinois ในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งในระดับปริญญาโทและเอก ซึ่งการต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปศึกษาต่อต่างประเทศนั้น ดร.โจ้เล่าว่า “ต้องปรับตัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งเรื่องของภาษา การเรียน และการใช้ชีวิต”
โดย ดร.โจ้เสริมว่า “ในช่วงสองเดือนแรก เรียนลำบากอยู่เหมือนกันค่ะเพราะว่าต้องอ่านหนังสือไปก่อน เนื่องจากอาจารย์ที่นั่นจะใช้วิธีการสอนแบบ Socratic Method คือให้ทุกคนพร้อมก่อนที่จะเรียน ต้องอ่านหนังสือก่อนมาเรียน เช่นวันนี้ครูจะสั่งงานให้อ่านหนังสือหน้านั้นถึงหน้านี้ พอมาถึงชั้นเรียนก็จะถามเลย ฉะนั้นการเรียนที่นั่นต้องเตรียมตัวและตั้งใจมาก ”
“เมืองที่โจ้ไปอยู่ เวลาหนาว จะหนาวมาก เวลาร้อน ก็ร้อนจัดมาก ไปถึง 40 หรือ 41 องศาเซลเซียสก็มี ฉะนั้นเรื่องอากาศก็เป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวค่ะ แล้วโจ้เอง อยู่ที่นั่นค่อนข้างลำบาก เพราะเรามาจากจุดที่ทำอะไรเองไม่ค่อยเป็น พอโจ้ไปถึงที่นั่น ตอนแรกคุณแม่เป็นคนไปส่ง ซึ่งคุณแม่เป็นห่วงโจ้มาก คอยสอนว่าจะต้องทำกับข้าวเป็น ทำอะไรเป็นบ้าง ต้องดูแลตัวเองอย่างไร เพราะการไปอยู่เมืองนอกคนเดียว ก็ลำบากต้องดูแลตัวเอง เรื่องของภาษาก็สำคัญนะคะ ต่อให้เราคิดว่าภาษาอังกฤษดีมากแค่ไหนก็ตาม ถ้าสมมุติว่าเราต้องไปอยู่และใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันทุกวัน และเรียนด้วย ซึ่งการเรียนกฎหมายที่นั่น ต้องอ่านหนังสือหนามาก และอ่านไปก่อนล่วงหน้า ในclass ครูจะยิงคำถามมาที่เรา เราก็ต้องคอยตอบ ก็หนักมากเพราะวันหนึ่งเรียนหลายวิชา ฉะนั้นก่อนที่จะไปเรียน ต้องอ่านหนังสืออย่างน้อยๆ 100-200 หน้า เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เป็นtext ทั้งหมด เพราะเรียนกฎหมายไม่ค่อยมีคำนวณหรือรูปภาพ ฉะนั้นต้องทุ่มเท และให้กำลังใจตัวเอง” ดร.โจ้ เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แรงบันดาลใจ
หลังจบปริญญาโทจากเดิมที่ดร.โจ้เรียนกฎหมายล้วนๆมาในระดับปริญญาเอก ดร.โจ้ ยังคงไม่ทิ้งการเรียนกฎหมายแต่คราวนี้เป็นการเรียนกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ คือนอกจากกฎหมายแล้วยังมีเรื่องเศรษฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ดร.โจ้มองว่าเศรษฐศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เหมือนกับเป็นการมองภาพกว้างๆ ของโลก กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ เศรษฐศาสตร์เป็นตัวที่เอามาจับโดยมีการใช้คณิตศาสตร์บางส่วนด้วย ก็เหมือนกับถ้าจะทำอะไรให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยที่ยังอยู่ในกฎเกณฑ์ นอกจากนั้นสาเหตุอีกประการคือแรงบันดาลใจจากอาจารย์ Thomas Ulen ที่สอนอยู่ที่ University of Illinois ด้วย ที่ทำให้ ดร.โจ้ เลือกเรียนทางด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์
“ คือตอนเรียนนิติศาสตร์ จุฬาฯ โจ้เรียนวิชาหนึ่งที่ชื่อกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ แล้วอาจารย์ สอนได้ประทับใจมาก โจ้ก็เลยไปสอบถามปรากฏว่า ท่านใช้ textbook เล่มหนึ่ง ซึ่งโจ้สนใจมากค่ะ แต่งโดย Prof. Ulen กับ Prof. Cooter ตอนนั้น โจ้รู้สึกว่าทำไมหนังสือเล่มนี้น่าสนใจขนาดนี้ ? โจ้หวังว่าสักวันจะได้ทำ research กับอาจารย์ท่านที่เขียนตำราเล่มนี้ แล้วพอดี Prof. Ulen ท่านสอนอยู่ที่ University of Illinois ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ โจ้ เลือกเรียนที่นี่ ซึ่งโจ้ก็ได้ทุนจากที่นี่ด้วย แต่ไม่ใช่ทุนทั้งหมดนะคะ อันนี้คือโจ้เรียนเอกทั้งหมดสามปี พอเรียนโทจบปุ๊บ โจ้ก็สมัครเรียนต่อที่นี่เลย ไม่ได้สมัครที่อื่น ซึ่งโจ้คิดว่าหากได้ก็เป็นโอกาสที่ดี เพราะคนสมัครเยอะมาก ปรากฏว่าได้ รู้สึกรุ่นโจ้จะมี 4 คนที่ได้และโจ้เป็นคนไทยคนเดียวค่ะ”
ดร.โจ้ ตั้งใจอยู่แล้วว่าอยากทำงานกับอาจารย์ท่านนี้ และคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำเหมือนใคร ซึ่ง ดร.โจ้ก็สำเร็จการศึกษาได้ดั่งใจต้องการ
ความสุข...กุญแจสู่ความสำเร็จ
เมื่อถามถึงหนทางสู่ความสำเร็จใจการศึกษา ดร.โจ้ กล่าวอย่างถ่อมตัวว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่า ตัวเองเรียนเก่งอะไรมากมาย น้องสาวของเธอเรียนเก่งกว่าเธออีก อย่างไรก็ตาม เธอแนะนำว่า “การทำอะไรด้วยความสุขจะทำให้สิ่งที่ทำออกมาดี การเรียนก็เช่นกัน และสำหรับการเรียนกฎหมายนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความเข้าใจ”
ดร.โจ้พูดต่อว่า “ โจ้คิดว่าคนเราควรจะทำอะไรที่ทำแล้วมีความสุขนะคะ คือถ้าเราเรียนไป แล้วเรา happy เรามีความสุขกับการได้เรียนจะดีเองค่ะ โจ้เชื่อว่าโจ้เป็นคนที่เป็น “สุขนิยม” ฉะนั้นถ้าเราตั้งต้น ให้มองในแง่บวกค่ะว่าไม่มีอะไรที่ความพยายามของมนุษย์จะทำไม่สำเร็จ แล้วเราก็ตั้งมั่นในความดี สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นกำลังใจให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่เราหวังได้ไม่ยาก โจ้คิดว่าคนเราต้องมีความเชื่อและมีศรัทธาในตัวเอง ถ้าเรานำจุดดีๆต่างๆเหล่านี้มารวมกัน จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มากๆกับทั้งตัวเราเอง ที่จะส่งเราไปยังจุดหมายที่เราคาดหวัง และจะส่งผลกระทบไปยังคนรอบข้างเราให้มีความสุข ถ้าคนรอบข้างเรามีความสุข สำหรับโจ้ก็ถือว่าโจ้มีความสุขด้วย
ซึ่งสำหรับการเรียนกฎหมายก็เช่นกันค่ะ ให้เรียนอย่างมีความสุข อย่าไปท่องจำ ให้พยายามเรียนด้วยความเข้าใจ แล้วก็ตั้งใจ โจ้เชื่อว่าเรียนอะไรก็ตาม ต้องตั้งใจก่อน เป็นพื้นฐาน ถ้าตั้งใจแล้ว มีความพยายาม ทำความเข้าใจมากกว่าท่องจำ คนส่วนใหญ่มักพูดว่าเรียนกฎหมายต้องท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่จริงๆถ้าเราเข้าใจปุ๊บทุกอย่างจะง่ายเลย ทุกอย่างจะเป็นอัตโนมัติ เราจะตอบได้ด้วย common sense เพราะกฎหมายเป็นเรื่องที่ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา”
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาเอก ดร.โจ้ ได้มาช่วยงานธุรกิจของครอบครัว โดยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และการสื่อสารองค์กรของ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งแม้จะไม่ใช่งานด้านกฎหมายโดยตรง แต่ก็ยังได้ใช้ความรู้ทางกฎหมาย ตรวจสอบและให้คำแนะนำเรื่องข้อสัญญาและข้อกฎหมายต่างๆ
คืนกำไรสู่สังคม
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจาก งานของกลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่ง ดร.โจ้ดูแลแล้ว ยังมีกลุ่มธุรกิจในส่วนของภาคการศึกษา คือ มหาวิทยาลัยเจ้าพระยาและ วิทยาลัยอาชีวศึกษาวิริยาลัยนครสวรรค์ ซึ่งเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน สังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ เดิมตั้งอยู่ในบริเวณอันกว้างขวางกว่า 10 ไร่ ของมูลนิธิปากน้ำโพประชานุเคราะห์ ณ ถนนพหลโยธิน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ปัจจุบันได้เพิ่มรองรับการขยายจำนวนที่เพิ่มขึ้นของนักศึกษาจึงได้ย้ายที่ตั้งแห่งใหม่รวมกับโรงเรียนเทคโนธุรกิจวิริยาลัยนครสวรรค์(เดิมเป็นโรงเรียนในเครือวิริยาลัยซึ่งทำการเปิดสอนระดับ ปวส.) มีที่ตั้งอยู่ที่ ต.หนองกรด อ.เมือง จ.นครสวรรค์
ดร.โจ้พูดถึงที่มาของมหาวิทยาลัยเจ้าพระยาว่า “ที่นี่ก่อตั้งขึ้น โดย คุณจรูญ ศิริวิริยะกุล พ่อตัวอย่างจังหวัดนครสวรรค์ ปี 2539 และ คุณหทัย ศิริวิริยะกุล แม่ดีเด่นจังหวัดนครสวรรค์ ปี 2535 คุณปู่และคุณย่าของโจ้เองค่ะ ด้วยทั้งสองท่านมีความคิดว่าในสภาพสังคมและเศรษฐกิจปัจจุบัน ของเมืองไทย การศึกษาในแขนงอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนที่จะก้าวออกไปเป็นพลังของชาติในวันข้างหน้า”
ดร.โจ้เล่าเสริมว่า “จากเจตนารมณ์ของคุณปู่คุณย่า ทั้งสองท่านต้องการจะคืนกำไรให้กับสังคมค่ะ เพราะนักเรียนนักศึกษาแถบนั้นส่วนมากเป็นลูกหลานชาวไร่อ้อยที่พ่อแม่เขาก็ส่งอ้อยเข้าโรงงาน การให้โอกาสทางด้านการศึกษาให้แก่ลูกหลานเขา ก็เหมือนกับการคืนกลับให้สังคมอย่างแท้จริง คุณโจ้เองก็มีโอกาสได้เข้าไปดูแลในส่วนตรงนี้บ้าง ซึ่งส่วนมากจะเป็นในเชิงบริหารมากกว่าเพราะงานหลักของโจ้จะอยู่ทางกรุงเทพฯ
มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา เป็นมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดค่ะ ไม่ใหญ่โต แต่มีลักษณะเฉพาะของเรา คือการเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อให้ เพราะเราไม่ได้ถือว่านักศึกษาเป็นลูกศิษย์ แต่เป็นทั้งลูกและศิษย์ ตรงนี้ทำให้เกิดการดูแล การเรียน การสอน การอบรมด้วยใจ และเรามีหลักว่าจะต้องไม่มีนักเรียนนักศึกษาที่ออกจากมหาวิทยาลัยเจ้าพระยาและโรงเรียนในเครือของเรา เพราะความขาดแคลนทางการเงิน เรามีทุนดูแลนักศึกษาของเราค่อนข้างมากและเนื่องจากกลุ่มเรามีด้านอุตสาหกรรมด้วย เด็กๆ ที่จบมาเราก็จะดูแลเรื่องงานให้ด้วย” คือความจนไม่ใช่ความชั่วความผิดนะคะ ค่าเล่าเรียนของเราถือว่าเป็นสถานศึกษาที่ถูกที่สุดของเอกชน แต่ที่สำคัญคือเรามีทุนดูแลเด็กๆของเรา และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะวันนี้ยังไม่จน แต่สมมุติเกิดอะไรขึ้นไม่ว่าน้ำท่วม ฝนแล้ง หรืออะไรก็ตาม เรารับประกันกับผู้ปกครองว่าเราจะไม่ทิ้งเขา เขาจะได้เรียนหนังสือจนจบที่สถาบันของเรา และเราจะดูแลเรื่องงานให้ คือไม่ต้องห่วง ถ้าลูกคุณอยู่กับเราแล้วจะเกิดอะไรในชีวิตก็ไม่ต้องห่วงค่ะ
สำหรับมหาวิทยาลัยเจ้าพระยา ตอนนี้มี 7 คณะ 11 สาขาวิชา ช่วงหนึ่งก่อนไปเมืองนอก โจ้ก็ได้เข้ามาช่วย แต่พอกลับมาก็จะติดอยู่กับธุรกิจค่อนข้างมาก ก็จะไปดูบ้างในเรื่องนิติศาสตร์ แต่ตอนหลังงานเยอะค่ะ ก็จะเข้าไปบ้างอย่างในวิชาแก้วสารพัดนึก ซึ่งเป็นวิชาเฉพาะของมหาวิทยาลัยเจ้าพระยาฯ และนักศึกษาทุกคนจะต้องเรียน แต่เรียนแค่เดือนละหนึ่งครั้ง ครั้งหนึ่งก็ประมาณสามชั่วโมง เป็นวิชาที่จะเติมเต็มสิ่งต่างๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียน เป็นวิชาที่ให้ความหวังอย่างแท้จริง สอนให้เห็นคุณค่าของตัวเอง ให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีความหวัง คือ การสอนให้นักศึกษามีทักษะชีวิต”
นั่งอยู่ในใจคน
สำหรับอนาคต ดร.โจ้บอกว่า “ คิดว่ายังคงต้องดูแลธุรกิจของที่บ้านเป็นหลักต่อไปค่ะ แต่ก็เป็นไปได้ที่อาจจะมีธุรกิจใหม่ที่คิดและศึกษาเองออกมา ความตั้งใจของโจ้ก็คือ อยากเป็นผู้บริหาร ที่นั่งอยู่ในใจของคน โจ้เชื่อว่าตอนนี้องค์กรเราดีอยู่แล้ว พนักงานเรามีความสามารถ ในเชิงอุตสาหกรรมเองเราก็มีศักยภาพ โจ้อยากจะเห็นคนในองค์กรของโจ้อยู่อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นไป ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นได้คงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
แต่โจ้เชื่อว่าความใส่ใจ ความเข้าใจ และการดูแลอย่างแท้จริง ความรักความจริงใจที่เรามีให้กับพนักงาน องค์กร และการที่เราให้โอกาสเขามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางองค์กร โจ้เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สัมผัสได้ เหมือนกับเป็นเรื่องที่เราดูแลพนักงานของเรา ตอนนี้ในกลุ่มของเราเองก็ให้ความสำคัญอย่างมากกับพนักงานของเรา
ซึ่งโจ้เองในฐานะคนรุ่นใหม่ มองว่านอกจากเราควรจะสานต่อสิ่งดีๆที่มีอยู่แล้ว เราควรจะพัฒนาเพิ่มเติมขึ้นมาด้วยมุมมองใหม่ๆ คนแต่ละยุคไม่เหมือนกัน ความยากของผู้ใหญ่อาจเป็นลักษณะที่ต้องเบิกทาง เปิดทางก่อน ของโจ้และน้องๆลูกหลานรุ่นที่สี่อาจเป็นลักษณะของการปรับคนเก่าใหม่ และสานต่อให้ดียิ่งขึ้น เป็นเรื่องยากนะคะที่จะรักษาสิ่งดีๆให้ดีขึ้นอีกแต่โจ้ก็มั่นใจว่าพวกเราคนรุ่นใหม่ทำได้ และโจ้ก็เชื่อว่าพนักงานของเรามีความสามารถและพร้อมจะก้าวเดินและเติบโตไปพร้อมๆกัน”
มีวันนี้เพราะครอบครัว
ด้วยความสำเร็จทางการศึกษา และการทำงาน เท่ากับเรียกได้เต็มปากว่า ดร.โจ้คือผู้หญิงที่เก่งมากๆ ซึ่งที่เธอมีทุกวันนี้ได้เพราะความรักความอบอุ่นจากครอบครัว โดยเฉพาะคุณแม่
ดร.โจ้พูดถึงคุณแม่ว่า “ โจ้คิดว่าโจ้โชคดีที่มีคุณแม่เป็นผู้หญิงเก่ง แล้วก็เสียสละมาก คุณแม่ออกจากงานตอนที่โจ้ยังเด็กๆเพื่อมาดูแลโจ้โดยเฉพาะ เพราะท่านคิดว่าพัฒนาการของลูกที่หายไปหนึ่งวันเงินเท่าไหร่ก็ทดแทนไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่โจ้และน้องๆซาบซึ้ง และรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่คุณแม่ทุ่มเทให้เรา เรามีหน้าที่ต้องทำทุกอย่างให้สมกับที่คุณแม่หวัง ที่แม่เสียสละให้เรา แต่ตอนนี้คุณแม่ก็กลับมาทำงานให้กับธุรกิจของครอบครัวแล้วนะคะ แล้วโจ้ก็คิดว่าโจ้โชคดีที่มีแม่หลายคนมาก อันนี้ใช่ว่าคุณพ่อมีหลายบ้านนะคะ(หัวเราะ) แต่หมายถึงนอกจากแม่แท้ๆแล้ว โจ้ยังมี
ญาติ ๆ อย่างเช่น คุณป้า คุณอา คุณน้า ญาติๆ ทุกคนดูแลโจ้ และรักโจ้ เหมือนเป็นแม่ อย่างคุณป้า บางทีโจ้จะเรียกว่าคุณแม่ใหญ่ โชคดีค่ะที่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่น ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ให้ลูกหลานเต็มที่ ปลูกฝังทุกๆอย่างที่เป็นเรื่องของความดี
สิ่งหนึ่งที่โจ้ประทับใจเกี่ยวกับครอบครัวคือเวลาที่ไปเรียนที่เมืองนอกจะเห็นคนเยอะมากขึ้นจากสังคมที่เราอยู่
โจ้รู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและเติบโตในครอบครัวนี้ เพราะว่าผู้ใหญ่ให้โอกาส ดูแล ใส่ใจ ให้ความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่ สอนให้เราเป็นคนดี
ซึ่งโจ้เชื่อว่าการสอนให้เป็นคนดีเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เล็กๆ และครอบครัวเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้คนๆหนึ่งเห็นคุณค่าของความดีได้ "
นอกเหนือจากมุมมองด้านการเก่งเรียนและเก่งงานแล้ว ดร.โจ้ยังมีมุมที่หลายคนอาจไม่เคยทราบ “ คนที่เจอกันครั้งแรกก็มักจะคิดว่าโจ้เป็นผู้หญิงหวานๆ แต่จริงๆ โจ้มีหลายมุมในตัวเอง บางทีก็เป็นคนเปรี้ยวๆบ้าง หรือบางทีก็เป็นคนตลกมีอารมณ์ขำๆ ซึ่งเป็นมุมที่อาจไม่ค่อยมีใครเห็นเพราะแต่ละวันของโจ้มักจะหมดไปกับการทำงาน แล้วก็ต้องไปร่วมงานต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บริหาร"
และนอกเหนือเวลางานแล้ว เธอเองก็ชอบออกกำลังกายและทำกิจกรรมอื่นๆ ในยามว่าง “ เวลาว่างๆ โจ้ชอบไปออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เล่นโยคะ หรือนั่งสมาธิ บางครั้งก็ทำขนม บราวน์นี่ เค้ก อะไรอย่างนี้ค่ะ อยากทานอะไรก็เปิด youtube แล้วทำตาม
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่อยู่เมืองนอกก็ทำขนมไทยกัน กับน้องๆ คนไทย อย่าง บัวลอย ทองหยิบ ก็ทำด้วยค่ะ ซึ่งถ้าเข้าไปซื้อที่ชิคาโก ก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง แต่ถ้าเราทำเอง เราก็สนุกด้วย แล้วก็เป็นกิจกรรมของเด็กไทย คนไทยที่นั่นน่ารักค่ะ
เมื่อตอนที่น้ำท่วมปีก่อนหน้านั้น เราก็ทำขนมออกมาขาย ส่งเงินกลับมาช่วยผู้ประสบอุทกภัยที่ประเทศไทย ตอนนั้นโจ้ทำบราวน์นี่ แล้วเอาไปขาย (หัวเราะ) ก็ได้เงินมาพอสมควรค่ะ เป็นกิจกรรมของสมาคมนักเรียนไทยที่อิลลินอยส์ ทางสมาคมคิดว่าอยากหารายได้เพื่อช่วยคนไทยที่ประสบภัยน้ำท่วม จริงๆตอนนั้นที่อเมริกามีหลายที่ที่ทำแบบนี้ ส่วนของโจ้เป็นของอิลลินอยส์ เราก็ขายง่ายๆค่ะ เพราะเมืองที่อยู่เป็นเมืองแคมปัส คนที่อยู่ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษา “
นอกเหนือจากการทำอะไรด้วยความรักแล้ว ดร.โจ้ยังฝากข้อคิดว่า “อยากให้มองว่าความดีเป็นสิ่งสำคัญ ความดีจะทำให้เรามีคุณค่าเพิ่มขึ้น อยากให้คนในสังคมรักกัน และเชื่อว่าความดีเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และจะทำให้สังคมของเรา พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอีกค่ะ” ดร.โจ้กล่าวทิ้งท้าย
น่าจับตาว่าอนาคตของ ดร.โจ้ จะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งจากความสามารถที่เธอมี และความดีที่เธอยึดมั่น เราเชื่อว่าเธอน่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไม่ยาก และ นี่คือคำจำกัดความที่เราขอมอบให้เธอ “หญิงเก่งจากพลังคิดบวก” ดร.สายศิริ ศิริวิริยะกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และการสื่อสารองค์กร กลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS Group
ข่าวเด่น