ผู้บริหาร โอ บอง แปง หัวใจเป็นไทยเต็ม 100%
นาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอบีพี คาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านโอบองแปงในประเทศไทย
ในถิ่นแดน “สยาม” คำที่เคยใช้เรียกประเทศไทยในอดีตว่า เป็นดินแดนที่ได้ชื่อว่า สยาม.. เมืองยิ้ม ประชาชนมีความใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเป็นมิตร โดยการมีไมตรีจิตแสดงออกได้ง่าย ๆ ด้วยการ “ยิ้ม” หรือยกมือไหว้เพื่อ “สวัสดี” แม้ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทำให้คนไทยยิ้มน้อยลงไปบ้าง แต่ทว่าสิ่งที่เป็นรากเหง้าอันดีงามของคนไทยยังคงหลงเหลืออยู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้มาเยือนจะหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเมืองไทย และไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกัน ที่จะมีชาวต่างแดนย้ายถิ่นฐานมาพักพิงในไทย เสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเขา
ในจำนวนนี้รวมถึง คุณนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี นักบริหารธุรกิจชาวเลบานอน ผู้บริหารธุรกิจอาหารมีชื่ออย่าง “โอ บอง แปง” ด้วยเช่นกัน ที่รักเมืองไทยและพระเจ้าแผ่นดินของคนไทยไม่น้อยหรืออาจจะมากกว่าคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศ เพราะเป็นแผ่นดินที่ให้โอกาสเขาและครอบครัวได้มีชีวิตที่สงบสุข ได้รับโอกาสดี ๆ มีหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าและครอบครัวที่อบอุ่นในปัจจุบัน จนเรียกว่าได้ว่า เขามีหัวใจของความเป็นไทยเต็ม 100%
จากเลบานอนมาอยู่ไทยชั่วชีวิต
คุณนาดิม เป็นผู้บริหารระดับแนวหน้าท่านหนึ่งของเมืองไทยที่ผ่านประสบการณ์การทำงานมาโชกโชน หลายอย่างทั้งในสายงานด้านการโรงแรมและสายงานธุรกิจอาหาร โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท Mudman Ltd. (Mudman) ที่บริหาร 3 แบรนด์ คือ ร้านอาหารโอ บอง แปง ,ร้านดังกิ้น โดนัทและไอศกรีมบาสกิ้น ร้อบบิ้นส์ (ซึ่งแต่ละแบรนด์แยกเป็นบริษัทย่อยทั้งหมดคือ บริษัท เอบีพี คาเฟ่ (ประเทศไทย), บริษัท Golden Donuts (Thailand) Co., Ltd. -GD)และบริษัท Golden Scoop Co., Ltd.ตามลำดับ
คุณนาดิมได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองกับทีมงานเอซีนิวส์ด้วยภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำว่า ได้ถือกำเนิดในครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีพี่น้องร่วมบุพการีเดียวกัน 3 คนในประเทศเลบานอน แต่ได้ย้ายมาอยู่ในไทยนานแล้วตั้งแต่อายุได้ 16 ปี จึงสามารถพูด อ่าน เข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี
คุณนาดิมเล่าต่อว่า เลบานอนเป็นประเทศที่สวยงามน่าอยู่ประเทศหนึ่งในแถบเมดิเตอเรเนียนและยังเป็นประเทศเดียวในโลกอาหรับที่มี 4 ฤดูกาล โดยฤดูหนาวมีหิมะโปรยปรายมาให้ได้ชมความสวยงาม ประชาชนมีประมาณ 5 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่ากรุงเทพมหานครนครหลวงของประเทศไทยเสียอีก แต่ประชากรมีการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดี พูดได้หลายภาษาและมักไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อหนีปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ เพราะนอกจากเลบานอนจะมีปัญหาภายในระหว่างประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์และอิสลามเองแล้ว ยังโชคร้ายอยู่ตรงกลางระหว่างประเทศอาหรับ อิสราเอลและปาเลสไตน์ที่มีปัญหาขัดแย้งกันอีก คุณพ่อของคุณนาดิมจึงเป็นคนหนึ่งที่ต้องออกจากมาตุภูมิและครอบครัวเพื่อไปทำงานและสร้างหลักฐานที่อยู่ใหม่ ซึ่งได้มาอยู่ในไทยนั่นเอง
“คุณพ่อและคุณแม่แยกกันอยู่ในขณะที่ผมอายุเพียง 6 ปี” คุณนาดินเริ่มเล่าถึงชีวิตตนเอง เพราะคุณพ่อของผมมีความฝัน ที่จะเดินทางตลอดเพื่อไปดูประเทศอื่น ชอบผจญภัยและชอบประเทศแถบเอเชียมาก โดยมาทำงานกิจการซักรีดโรงแรมในไทยและชอบมาก รักมากจะอยู่ในประเทศไทยไปตลอดชีวิต แต่คุณแม่ไม่ยอมไป เนื่องจากเป็นห่วงด้านการศึกษาของลูก ๆ และดูแลธุรกิจซักแห้งในเลบานอนด้วย แต่ต่อมาปัญหาสู้รบในเลบานอนระหว่างชาวมุสลิมและผู้นับถือศาสนาคริสต์รุนแรงขึ้น ทำให้คุณแม่ตัดสินใจให้ผมและพี่ชายรีบเดินทางออกจากเลบานอนเพื่อมาอยู่ในไทยเมื่ออายุประมาณ 16 ปี เหมือนในหนังเลย
ตอนนั้นไวมาก แม่ให้เก็บของอย่างรวดเร็วและออกเดินทางเลย ไม่ได้ร่ำลาเพื่อน ๆ เลย เดินทางก็ลำบากเพราะสนามบินอยู่ในพื้นที่ของคนมุสลิม ผมเป็นคนคริสต์ จึงต้องจ้างแท็กซี่ไปเพราะเดินทางไปเองไม่ได้ ต้องไปซีเรียก่อน จากนั้นเดินทางต่อไปกรีซและค่อยมาถึงไทย”
เมื่อมาถึงเมืองไทยคุณนาดิมจึงเหมือนมาเริ่มชีวิตใหม่แบบงง ๆและไม่อยากอยู่ โดยบอกับคุณพ่อว่า อยากไปอยู่ที่ปารีสในฝรั่งเศสซึ่งมีญาติอยู่ที่นั่น และปัจจุบันยังรอกันอยู่เลย 30 ปีแล้ว (หัวเราะ) แต่คุณพ่อฉลาดบอกว่า ใจเย็น ๆ ให้ไปเที่ยวก่อนสัก 6 เดือนเดี๋ยวจะติดใจ จากนั้นให้เงินไปเที่ยว ซึ่งได้ไปหลายที่กับเพื่อนและเริ่มรู้จักเพื่อนคนไทยเพิ่ม ซึ่งคุณนาดิมยอมรับว่า “ได้ผล” เพราะทำให้คุณนาดิมเปลี่ยนใจไม่อยากไปฝรั่งเศสแล้วและอยากอยู่ต่อได้ในที่สุด
หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาต้องเข้าเรียน เริ่มแรกคุณนาดิมต้องไปเรียนที่สมาคมภาษาฝรั่งเศสแถว ถ.สาธร ส่วนพี่ชายสอนหนังสือที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี คุณนาดิมในขณะนั้นยังสับสนอยู่เพราะเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาและดูเหมือนว่า อยู่เมืองไทยไม่ได้ใช้ แต่ทำอะไรไม่ได้ จะเรียนโรงเรียนนานาชาติก็สายไปแล้ว เพราะในวัย 16-17 ปีต้องเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ในขณะนั้นจึงเรียนไปก่อนโดยไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต ในทุก ๆ วันหลังเลิกเรียนที่สมาคมภาษาฝรั่งเศสคุณนาดิมก็จะไปหาพี่ชายที่โรงเรียนนานาชาติทุกวัน จึงมีเพื่อน ๆ ที่นั่นและได้ร่วมทำกิจกรรมกัน เป็นดีเจบ้างและตั้งวงดนตรี ทำให้ชีวิตเริ่มมีความสุข
แต่ต่อมาได้ตัดสินใจเบนเข็มมาเรียนด้านการ โรงแรมเหมือนพ่อ เพราะจะได้ใช้ภาษาให้เป็นประโยชน์ ซึ่งคุณนาดิมพูดได้หลายภาษา เป็นคุณสมบัติที่ทางโรงแรมชอบอยู่แล้ว คุณพ่อก็สนับสนุนและได้ฝากฝังให้ไปฝึกงานกับเพื่อน ๆ ตามโรงแรมต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้การทำงาน รวมถึงที่โรงแรมโอเรียลเต็ล โรงแรมหรูของประเทศไทยด้วย เพราะคุณพ่อของคุณนาดิมรู้จักผู้บริหารของทางโรงแรมที่นั่นด้วย โดยคุณนาดิมฝึกงานที่นั่นเป็นเวลานานถึง 6 เดือน
ทำงานเชียงใหม่-ส้มหล่นได้ทุนเรียนนอก
เมื่อผ่านการฝึกงานในโรงแรมหลายแห่งคุณนาดิมเริ่มชอบงานทางด้านนี้และคิดว่า ตนจำเป็นต้องเรียนต่อ แต่เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้าง หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เหมือน “ส้มหล่น” ทำให้คุณนาดิมได้รับโอกาสได้ทุนไปเรียนด้านการโรงแรมจริง ๆ ช่วยปูทางให้เขาก้าวสู่การนักบริหารการโรงแรมในเวลาต่อมา
โดยคุณนาดิมแอบได้ยินว่า คนบอกกับคุณพ่อว่า จะมีโรงแรมในเครือไฮแอท ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทบริหารโรงแรมชั้นนำของโลกจะเปิดสาขาที่เชียงใหม่ โดยปัจจุบันมีชื่อว่า เชียงใหม่ ออร์คิด และอยากให้คุณพ่อของคุณนาดิมไปเปิดแผนกซักรีด ซักแห้งที่นั่น จึงอยากไปและตัดสินใจเดินทางไปเลยโดยไม่บอกคุณพ่อ แต่ไปในนามของคุณพ่อซึ่งเป็นบริษัทคอนซัลแทนต์หรือบริษัทที่ปรึกษา
เหตุผลส่วนหนึ่งคือ รู้สึกเบื่อ ไม่อยากอยู่บ้านกับคุณพ่อและพี่ชาย เนื่องจากความเป็นลูกชายคนเล็กจึงไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจเลย และการไปอยู่ที่เชียงใหม่เป็นเวลา 3 เดือน นับเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมาก ๆ ชอบมาก สนุก เพราะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
“คุณพ่อแปลก ๆ ไม่ให้โอกาสได้ตัดสินใจอะไรเลย ผมมีแนวคิดอะไรก็ไม่ยอมรับฟัง ผมยังจำได้มาถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นผมอายุ 20 ปีแล้ว มีความคิดเห็นอะไร เขามักไม่รับฟัง โดยบอกว่า เราเพิ่งออกจากไข่ ให้นั่งเฉย ๆ ”
คุณนาดิมเล่าว่า ต่อมาผู้บริหารหรือกรรมการผู้จัดการของโรงแรมที่เชียงใหม่ได้เรียกตัวไปพบและถามว่า “เห็นเป็นคนไฟแรง สนใจอยากทำงานในสายโรงแรมไหม ถ้าคุณสนใจมาเซ็นต์สัญญากับเรา เราจะให้โอกาสไปเรียนที่เมืองนอก ไปอยู่ในโรงเรียนเลย” เลยโทรศัพท์มาบอกคุณพ่อว่า ได้รับโอกาสให้ไปเรียนนะ แต่คุณพ่อไม่ให้ไปและพูดตัดบทว่า ให้กลับบ้านเลย
แต่ด้วยความที่คุณนาดิมมีความสนใจอยากไปเรียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับงานกำลังจะเสร็จครบกำหนด 3 เดือนแล้ว เมื่อคุณพ่อพูดแบบไม่ใส่ใจแบบนี้ คุณนาดิมจึงดื้อไม่ยอมกลับบ้านและตัดสินใจไปเรียนการโรงแรมตามโอกาสที่ผู้บริหารโรงแรมเครือไฮแอทหยิบยื่นให้ทันที โดยเขาได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล ของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นมหาวิทยาลัยเบอร์ 1 ด้านการโรงแรมของโลก ซึ่งเป็นการเรียนไปควบคู่กับการทำงาน ทำให้เขาได้ประสบการณ์ พบเห็นสิ่งต่าง ๆมากมาย ทำให้โตขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น ไม่ไร้จุดมุ่งหมายในชีวิตเหมือนแต่ก่อน
พบรักสาวโรงแรมเดียวกัน
คุณนาดิมเล่าต่อว่า หลังเรียนจบกลับมาเมืองไทยแล้วได้เข้าทำงานในโรงแรมหลายแห่งทั้งที่เชียงใหม่ กรุงเทพฯและภูเก็ต ซึ่งที่ภูเก็ตนี้เองที่คุณนาดิมได้รู้จักกับภรรยาและแต่งงานกัน เพราะคุณนาดิมต้องไปดูแลแห่งโรงแรมใหม่และต้องการพาภรรยาไปใช้ชีวิตในต่างแดนด้วยกัน
คุณนาดิมได้เล่าความหลังให้ฟังว่า ได้รู้จักภรรยาเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วเมื่อครั้งที่คุณนาดิมเคยทำงานอยู่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ที่ภูเก็ตก่อนจะไปประจำโรงแรมที่เกาะคุ๊ก ในตอนนั้นภรรยาคือ คุณสุวรรณี เพิ่งเรียนจบจากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใหม่ ๆ และมาทำงานที่เดียวกัน ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับส่วนหน้า ส่วนคุณนาดิมทำแผนกเครื่องดื่ม
“เจอตอนแรกไม่ชอบเขาเลยเพราะดูเป็นคนหยิ่ง จนคืนวันหนึ่งที่ผมนั่งเล่นกีตาร์อยู่ เขาและเพื่อน ๆ กลับมาจากไปเที่ยวกันและเข้ามาคุยด้วย จึงมีโอกาสได้คุยกัน พอได้คุยกัน จึงได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่า ไม่ใช่อย่างที่เคยคิด ภรรยาเป็นคนเรียบร้อย คุยกันถูกใจและเริ่มชอบ ในวันนั้นคุยกันถึง ตี 3 โดยไม่รู้ตัว พอรู้จักกันได้ประมาณ 1 เดือนก็รู้สึกได้ว่า ผู้หญิงคนนี้แหละที่จะมาเป็นภรรยาของผม
ผมเป็นคนโรแมนติกมาก แต่เขาไม่เลย เก็บความรู้สึกและชอบแกล้งผม ขนาดคืนนั้นที่คุยกันถึงตี 3 ตื่นมาตอนเช้า ถามว่า เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง เขายังตอบว่า เมื่อคืนอะไรเหรอ ไม่รู้เรื่อง(หัวเราะ) ที่ภูเก็ตตอนนั้นโรแมนติกมาก ทุกสัปดาห์ผมพยายามทำให้เป็นวันหยุดที่มีความสุข ไปขอหัวหน้าเขาเพื่อให้ได้หยุดพร้อมกัน จากนั้นขับมอเตอร์ไซด์พาภรรยาไปรอบเกาะ ทุกสัปดาห์ไปเที่ยว ไปทานข้าวที่ใหม่ๆ ตลอด
คบกันมาได้ประมาณ 2 ปี พอดีผมต้องไปดูแลโรงแรมที่เกาะคุ๊ก เลยต้องรีบแต่งงานกันแล้วเพราะเขาต้องไปกับผมด้วย หลังจากนั้นจึงได้แต่งงานกันตามธรรมเนียมไทยจีนตามฝ่ายภรรยาซึ่งมีพิธีรีตองมาก แต่งงานเสร็จแล้วมีลูกเลยและย้ายไปโรงแรมใหม่เลยในขณะลูกยังเล็ก
ผมไปช่วยงานพัฒนาปรับปรุงโรงแรมซึ่งเป็นของรัฐบาลในชื่อ โรงแรมเชอราตันที่เกาะคุ๊ก เกาะเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรเซาธ์แปซิฟิก ส่วนโรงแรมใหม่อีกแห่งหนึ่งที่กำลังสร้างอยู่เจ้านายเก่าเป็นคนดูแล โดยเกาะคุ๊กนี้ถือเป็นประเทศแรกที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียงประมาณ 30,000 คน วิ่งรถรอบเกาะใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเผ่าเมารี ไปอยู่ที่นั่นทำให้มีโอกาสไปเที่ยวนิวซีแลนด์และออสเตรเลียด้วย โดยประจำอยู่ประมาณ 2 ปี”
ต่อมาคุณนาดิมได้ไปช่วยเพื่อนทำงานเปิดโรงแรมใหม่คือ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ที่บาหลีเป็นเวลา 3 เดือน ก่อนจะกลับมาเมืองไทยโดยมาเป็นกรรมการผู้จัดการบริหารงานโรงแรมรายาวดี ที่อ่าวพระนาง จ.กระบี่ ซึ่งคุณนาดิมบอกว่า “อยู่ที่กระบี่ 5 ปีแต่ถือว่าเหนื่อยที่สุดในชีวิตและออกแนวไสยศาสตร์ เพราะต้องบริหารลูกค้าโรงแรมและวิญญาณไปด้วย”
“อยู่ที่กระบี่ ที่อ่าวพระนางเป็นเแหลม สวยมาก โรงแรมหรูหรา มีสุสาน มีถ้ำและสปิริตหรือวิญญาณเยอะมาก ทุกเดือนที่มีพระจันทร์เต็มเดือน เราต้องมีขบวนไปที่ถ้ำเป็นขบวนใหญ่ เป็นกลองยาว มีลูกค้าของโรงแรมไปด้วยเพื่อถวายของสักการะ ผลไม้ เพื่อขอให้พระนางช่วยดูแล เรายังคุยกับพระนางผ่านคนทรงด้วย
ถามว่า เชื่อไหมเรื่องวิญญาณ บอกตรง ๆว่า ตอนแรกผมไม่เชื่อ แต่ตอนหลังผมเชื่อ โดยมีอยู่วันหนึ่งมีคนทรงอายุ 60 ปีรับเป็นร่างทรงคนแก่อายุประมาณ 80 ปีซึ่งเป็นพระในสมัยรัชการที่ 4 แต่สิ่งที่ทำให้เชื่อเรื่องนี้คือ หลังจากวิญญาณคนแก่ออกไปแล้ว เป็นวิญญาณเด็กหรือกุมารมาเข้าคนทรงแทนและทำให้เปลี่ยนไปเลย และเดินมาจับมือลูกชายและชวนไปเล่นด้วยกัน ซึ่งลูกคนโตผมขณะนั้นอายุ 3 ขวบไปเล่นกับเขา ทำให้งงกันมากเพราะปรกติลูกผมจะไม่ไปกับใครที่ไม่รู้จัก ไปกับคนแก่จะไปทำไม เขาอาจจะมองเห็นอะไรก็ได้ ผมไม่รู้ ผมไม่เห็น งงมากเลย ภรรยาผมยังอ้าปากค้างเลย เจอแบบนั้น..วันนั้นถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต”
หลังจากทำงานที่กระบี่ได้ 5 ปี คุณนาดิมบอกเจ้านายว่า ไม่ไหวแล้ว เหนื่อย ถ้ายังไม่มีที่อื่นไม่เป็นไร พอดีเพื่อนที่อยู่ในเครือเซ็นทรัลมาบอกว่า สตาร์บัคส์จะมาไทยแล้ว เขากำลังหาคน อยากให้คุณนาดิมไปช่วยหน่อย จากจุดนั้นได้ทำให้ชีวิตคุณนาดิมเปลี่ยนไป…เริ่มก้าวสู่ธุรกิจอาหารเป็นครั้งแรก
ฉีกแนวไปเป็นGMสตาร์บัคคนแรกในไทย
คุณนาดิมมองว่า การไปทำงานกับสตาร์บัค ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านกาแฟระดับโลกจากอเมริกา ถือเป็นความโชคดีและได้โอกาสในชีวิตมากมาย โดยเขาก้าวขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการบริหารสตาร์บัคส์คนแรกในไทย หลังจากตอนแรกกังวลอยู่บ้างเนื่องจากเป็นการเปลี่ยนสายงานไปเลย จากธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจอาหาร โดยได้โอกาสไปไปศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับสตาร์บัคส์ที่บริษัทในเมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน เป็นเวลา 3 เดือน ไปพร้อมคนไทยอีก 5 คน
จากนั้นคุณนาดิมได้ทำงานอยู่กับสตาร์บัคส์เป็นเวลานาน 6 ปี ก่อนที่ย้ายที่ทำงานใหม่อีก แต่คราวนี้นานหน่อยและยังทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยได้ย้ายมาบริหารร้านอาหารแบรนด์ “โอ บอง แปง”ซึ่งเป็นร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่หลากหลาย และถือเป็นบริษัทที่เล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับสตาร์บัคส์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ฟื้นโอ บอง แปง สำเร็จโดดเด่น
คุณนาดิมเลือกที่จะก้าวออกจากสตาร์บัคส์และไปอยู่บริษัทเล็ก ๆ ท่ามกลางการไม่เห็นด้วยของภรรยาและเพื่อน ๆ เพราะเห็นว่าอยู่กับสตาร์บัคส์ดีอยู่แล้ว มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าที่ใหม่เสมือนมีสิ่งท้าทายใหม่ ๆ รออยู่และเชื่อมั่นในฝีมือของตัวเอง
“ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยที่ออกจากสตาร์บัคส์ เพราะถ้าอยู่อาจจะเป็นเอ็มดีหรือกรรมการผู้จัดการไปแล้ว แต่ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าอยากไปแล้ว อยากทำอะไรเองและการเป็นบริษัทใหญ่ทำให้มีการเมืองภายในมาก ซึ่งผมไม่ชอบ ขณะเดียวกันในการบริหารงานจะมีการควบคุมหลายอย่างจากสหรัฐด้วยประมาณ 50% ที่มีข้อดีเวลามีโปรโมชั่นอะไรจะทำเหมือนกันและพร้อมกันทั่วโลก แต่ในแง่ของการทำงานเราทำเองได้เพียง 50% ในขณะที่ไปอยู่ที่ใหม่ จะทำให้เรามีโอกาสได้บริหารงานถึง 3 บริษัท (บริษัทแบรนด์ร้านโอ บอง แปง,ดังกิ้นโดนัทและไอศกรีมบาสกิ้น ร้อบบิ้นส์) ดีไม่ดีไม่เป็นไร แต่ผมไม่กลัว
อีกเหตุผลหนึ่งคือ “อยากทำ” อยากช่วยเหลือคน เพราะในขณะนั้นธุรกิจอาหารในเครือเอบีพี คาเฟ่ฯ กำลังมีปัญหา อยากมาช่วยเจ้าของปรับปรุงบริษัท ผมไม่เสียดายเลยที่ออกมา ผมภูมิใจที่มาอยู่ที่นี่ เพราะการเป็นบริษัทเล็ก ๆ ทำให้อยู่กันอย่างพี่น้อง ทุกคนเป็นกันเอง ในขณะที่บริษัทใหญ่ทำไม่ได้ มีเจ้านายเยอะแยะ เกรงใจ ปวดหัว”
หลังจากอยู่ได้ประมาณ 1 ปีเศษ คุณนาดิมได้ช่วยแก้ปัญหาฟื้นธุรกิจอาหารต่าง ๆ ในการดูแลให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างระบบใหม่ แก้ปัญหาทุจริตและบริหารจัดการบุคลากร จนขณะนี้อยู่มาได้นานถึง 10 ปี ซึ่งถือว่า เป็นบริษัทที่คุณนาดิมอยู่นานที่สุด
“เดิมทั้งสองแบรนด์ คือ โอ บอง แปง กับ ดังกิ้น โดนัท ดีอยู่แล้ว เพียงแต่มีปัญหาเรื่องระบบและการตัดสินใจ ใช้เวลาประมาณปีครึ่งก็ดีขึ้น และดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยโอ บอง แปง ตอนนี้ไปแรงมาก ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างให้เป็นแบรนด์ที่คนรู้จัก ซึ่งต้องขยายสร้างหลายสาขาเพื่อให้ถึงจุดที่เรียกว่า
Economy of Scale (จุดที่ธุรกิจสามารถผลิตได้มากและช่วยให้ต้นทุนในการผลิตลดลงได้) โดย โอ บอง แปง พอเริ่มอยู่ที่ 30 สาขา จึงเริ่มมี Economy of scale มีเงินทุนไหลเวียนดีมากปัจจุบันมี 55-56 สาขา ยังมีโอกาสไปได้ถึง 100 สาขาได้อย่างไม่มีปัญหา
สำหรับดังกิ้นเวลานี้มี 200-236 สาขา มีโอกาสขยายไปถึง 400 สาขาได้โดยไม่มีปัญหา ส่วนไอศกรีมบาสกิน เป็นแบรนด์ดีจากต่างประเทศ คุณภาพดี ทุกอย่างดีไม่มีปัญหาหากมี 22 สาขาจะเริ่มมี Economy of scale เวลานี้มี 21 สาขาแล้ว สาขาที่ 22 ก็จะเริ่มดีขึ้น”
เทคนิคบริหารคนช่วยให้ทำงานง่าย-สนุก
คุณนาดิมเล่าว่า ในการเข้าไปปรับระบบบริษัทใหม่ ได้ให้พนักงานออกเป็นจำนวนมาก แต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้บริษัทเดินได้ เพราะเคยอ่านหนังสือที่ให้หลักคิดในการปรับบริษัทว่า จะทำได้ง่ายภายใน 6 เดือน เนื่องจากยังไม่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพนักงาน จึงยังไม่มีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง
นอกเหนือจากปรับบุคลากรที่ไม่เหมาะสมออกไปแล้ว คุณนาดิมยังมีหลักการบริหารและพัฒนาบุคลากรเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานเป็นทีมและทำให้พนักงานสนุกในการทำงาน ด้วยการให้อำนาจพนักงานทุกคน มีอำนาจดูแลหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้พนักงานกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจและมีโอกาสให้พัฒนาศักยภาพของตัวเองนับเป็นผลงาน “พัฒนาคน” ที่ทำให้เขาภูมิใจมาก ซึ่งแนวทางบริหารดังกล่าวนี้ นับว่าช่วยปูทางให้งานด้านฟื้นฟูธุรกิจในความรับผิดชอบของเขาประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
“ภูมิใจมาก มีความสุขมาก ทำงานสนุกตลอดเวลา อยู่ที่นี่นานที่สุด 10 ปีแล้ว แต่ยังมีความรู้สึกเหมือนผมเพิ่งมาเมื่อวานนี้เอง
พนักงานในบริษัทเก่งทุกคน ผมให้อำนาจ ดูแลงานของตัวเองอย่างเต็มที่ สามารถแสดงความคิดเห็น ว่ากล่าวผมได้หากผมตัดสินใจผิด ประตูห้องผมเปิดไว้ตลอดเวลาเพื่อให้ลูกน้องสามารถเดินเข้ามาปรึกษาหรือเสนอแนะได้
พนักงานไม่ต้องกลัวการทำหน้าที่ ผมไม่ชอบการทำงานที่พนักงานกลัวเจ้านาย ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง ผมไม่อยู่ต้องตัดสินใจได้ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะมีหลายที่ที่พนักงานไม่สามารถตัดสินใจได้เมื่อเจ้านายไม่อยู่ ตัดสินใจผิดไม่เป็นไร มาคุยกัน คราวหน้าจะได้ระมัดระวัง มีปัญหาอะไรในแผนกให้มาคุยกัน
ผมแคร์เรื่องคนมาก เป็นงานพัฒนามนุษย์ที่ชอบทำ เพราะเหมือนให้โอกาสคน อยากให้เขามีโอกาสเหมือนผม ผมสอนให้เขาทำแบบนี้ ทุกคนทำงานสนุก ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะผมก็ทำงานคนเดียวไม่ได้ ผมต้องการพวกเขา และผมเองก็ได้ไอเดียร์ดี ๆ จากพวกเขาเยอะ ”
คุณนาดิมยังเล่าต่อว่า ได้จัดให้มีการสำรวจความคิดเห็นพนักงานในทุก 6 เดือนด้วย เพื่อดูว่าพวกเขามีความสุขในการทำงานหรือไม่และจะต้องปรับอะไรบ้าง
“นอกจากนี้ในตอนที่มาบริหาร โอ บอง แปง ยังมีพนักงานหลายคนตามมาจากสตาร์บัคส์ด้วย พวกเขาไม่กลัวที่จะมาทำงานกับบริษัทที่เล็กกว่า ได้เงินเดือนน้อยกว่า สวัสดิการน้อยกว่า บางคนบอกผมว่า หมอดูบอกเลยว่า ให้มาทำงานที่นี่ (หัวเราะ) ตอนนั้นทั้งหมดมามากกว่า 10 คน ทำให้ทางสตาร์บัคส์โกรธผมอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่คน เพราะทุกคนที่มาไม่ใช่คนเก่งทั้งหมด เพราะสตาร์บัคส์เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง มีระบบที่ดี ทำให้คนทำงานง่ายกับระบบ แต่ที่นี่ไม่มีระบบเลย แต่คนที่เหลืออยู่ก็ดูแลกันเต็มที่เพราะต้องขอบคุณเขาที่มาช่วยกัน มาอยู่กับเราในบริษัทเล็กๆ ”
ความท้าทายใหม่ ดันเข้าตลาดหลักทรัพย์
เมื่อบริหารงานประสบความสำเร็จ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องโตต่อไป โดยในอนาคตอันใกล้ราวปีหน้า เราอาจได้เห็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานีที่ทำธุรกิจอาหารน้องใหม่เพิ่มบนหน้ากระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)
คุณนาดิมเล่าว่า กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ กลุ่มธุรกิจอาหารร้าน โอ บอง แปงและดังกิ้น ผ่านมือหรือมีเจ้าของมาเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว โดยก่อนหน้านี้เจ้าของรุ่นแรกอยู่ในตระกูลนฤหล้า ซึ่งเป็นแขกซิกข์และเป็นเจ้าของโรงแรมหลายแห่งด้วย เจ้าของเป็นคนดี แต่ฝ่ายบริหารมีปัญหา เมื่อคุณนาดิมเข้ามาปรับปรุงกิจการ จำเป็นต้องหานักลงทุนมาช่วย เนื่องจากเงินทุนไม่เพียงพอ ต่อมาได้ บริษัท นาวิส แคปปิตัล ของสหรัฐ(Navis Capital ) มาซื้อ โดยนาวิสเป็นบริษัทการลงทุนที่มีเงินทุนทำธุรกิจโดยเข้าซื้อกิจการที่มีปัญหาเพื่อปรับปรุงพัฒนาและขายต่อใน 5 ปีเพื่อทำกำไรและการทำธุรกิจแบบนี้จะให้โอกาสแก่ผู้บริหารได้ซื้อหุ้นด้วย ซึ่งในขณะนั้นคุณนาดิมได้โอกาสซื้อหุ้นด้วยเช่นกัน เพราะเชื่อมั่นในบริษัทที่จะสามารถปรับปรุงได้ โดยเจ้าของเก็บหุ้นไว้เพียง 10% และขายออก 90% ในส่วนนี้เป็นของคุณนาดิมและ บริษัท นาวิส แต่เขาต้องขายออกพร้อมกันเมื่อทาง บริษัท นาวิส ขายออกและได้รับส่วนแบ่งกำไรในสัดส่วนที่เท่ากัน
ในปัจจุบันบริษัทแม่ มีชื่อว่า บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยเป็นบริษัทลูกของ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ บมจ.ทรัพย์ศรีไทย ถือหุ้นในบริษัท Mudman Ltd. (Mudman)100% ที่ตั้งขึ้นในรูปบริษัทโฮลดิ้งคอมพานีและเป็นเจ้าของธุรกิจอาหาร 3 แบรนด์ ที่คุณนาดิมดูแลอยู่ โดยมีแผนจะนำ Mudman เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า แต่กำลังรอการขยายเพิ่มแบรนด์ใหม่ ๆ อีกเพราะ 3 แบรนด์ที่มีอยู่ในขณะนี้ยังน้อยเกินไป ซึ่งในช่วงก่อนสิ้นปี 2556 นี้จะสามารถสรุปเรื่องแบรนด์ได้
“กำลังมองแบรนด์ใหม่ 2-3 แบรนด์ซึ่งกำลังคุยกันอยู่ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันและเป็นแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มเท่านั้นเพื่อมาช่วยเสริมทัพบริษัทให้ดูดีขึ้น โดยในการเลือกแบรนด์ใหม่ๆ จะดูคอนเซ็ปต์ว่า เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในตลาด มีกำไรหรือไม่และมีศักยภาพที่จะเปิดขยายไปได้อีกหรือไม่ หรือแบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่เราสามารถมาต่อยอดได้อีก มาเพิ่มมูลค่าได้ บางแบรนด์ผมชอบมาก แต่เจ้าของไม่ยอมขาย ซึ่งก็ถูกต้องเพราะเป็นแบรนด์ที่ดี ส่วนแบรนด์ไทยบางแบรนด์ที่ดีมาก มีโอกาสที่จะก้าวไปสู่ระดับนานาชาติได้เลยก็มี
เวลานี้ทุกคนอยากจะมาในเอเชีย เพราะยุโรป สหรัฐฯเศรษฐกิจมีปัญหา จึงมีเป็นโอกาสที่เราจะไปที่โน่นด้วย” คุณนาดิมกล่าวอย่างอารมณ์ดี
ครอบครัวแฮปปี้-ภรรยาช่วยสร้างหลักฐานมั่นคง
โดยภาพรวมแล้วกล่าวได้ว่า คุณนาดิมประสบความสำเร็จทั้งในด้านหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก มีหลักฐานมั่นคงซึ่งคุณนาดิมกล่าวว่า ต้องขอบคุณศรีภรรยาของเขาที่ช่วยเก็บหอมรอมริบและทำให้เงินงอกเงยด้วยการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และทองคำ ทำให้มีมรดกไวสำหรับลูก ๆ ซึ่งปัจจุบันลูกๆ โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว โดยคุณนาดิมและภรรยามีพยานรักด้วยกัน 3 คน คนโตชื่อว่า รามิน อายุ 23 ปี เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หลักสูตรนานาชาติ อยากไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ แต่มีเกณฑ์ว่า ต้องมีประสบการณ์ในการทำงาน 2 ปี ตอนนี้เลยไปทำงานด้านไอที เป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทแอปเปิ้ลก่อน
ครอบครัวของคุณนาดิมเป็นครอบครัวหนึ่งที่มีทัศนคติในการเลี้ยงดูลูกเหมือนเป็นเพื่อนกัน นอกจากนี้เขายังเปิดโอกาสให้ลูกกล้าคิดกล้าทำเหมือนที่ใช้กับพนักงาน “ลูกคนโตผม ผมปล่อยให้เขาเดินทางเองตั้งแต่อายุ 16 ปี ให้ได้พัฒนาตัวเอง กล้าพูด กล้าแสดงออก ซึ่งช่วยให้เขามีความมั่นใจสูง เขากับผมจึงเหมือนเพื่อนกันกล้าปรึกษาได้แม้กระทั่งมีปัญหาทะเลาะกับแฟน ผมดีใจมาก ไม่เคยเจอ”
สำหรับลูกชายคนสุดท้องมีชื่อว่า การ์มิน อายุ 14 ปี ซึ่งคุณนาดิมบอกว่า “คนนี้เป็นนักฝัน จินตนาการสูง ฉลาดมาก แต่ขี้เกียจ เขาเหมือนผม บางครั้งคุณครูมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็บอกครูไปว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะเมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนี้ ลูกคนนี้โตไปน่าจะเป็นนักธุรกิจได้”
ส่วนลูกสาวซึ่งเป็นคนที่ 2 มีอายุ 16 ปี ชื่อว่า ปาริศา ซึ่งขณะนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.6 ของโรงเรียนไทย เพราะไม่ชอบอยู่โรงเรียนนานาชาติและกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ลูกสาวค่อนข้างโปรดปรานด้านบันเทิง ปัจจุบันก็เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ ดังกิ้นส์ด้วย ไม่ได้ใช้เส้นนะ (หัวเราะ) พอดีทีมงานเขามาขอ และก็เตรียมตัวเข้าเซ็นต์สัญญากับบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ในอนาคตอันใกล้ เพราะแกรมมี่จะตั้งวง 4 คน เป็นคอนเซ็ปต์ ร้อง-เต้น คล้ายเกาหลีใต้ ส่วนดนตรีลูกสาวคนนี้เขาเล่นเปียโนและขิมได้
“ตอนนี้ผมสนิทกับลูกสาวกับคนนี้มากกว่าภรรยาอีก กับภรรยาเมื่อก่อนมีเรื่อยคุยกันมาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว (หัวเราะ)”
คุณนาดิม เล่าให้ฟังด้วยว่า ครั้งหนึ่งการต้องคอยรับส่งลูกสาวไปงานถ่ายโฆษณา เคยทำให้คุณนาดิมต้องจับพลัดจับผลูไปแสดงภาพยนตร์โดยไม่ตั้งใจด้วย
“ตลกมาก วันหนึ่งผมพาลูกไปแคสติ้ง ปรากฏว่า เขามาเลือกผมไปแสดงหนัง เพราะต้องการบทพระที่เป็นฝรั่ง ผมก็ไปลองถ่ายทำมา ก็ได้ประสบการณ์สนุกดี แต่เหนื่อยมาก ลูกสาวผมงอนไม่คุยกับผมเลย บอกว่า คราวหน้าไปแคสติ้งใหม่ พ่อไม่ต้องไปแล้ว(หัวเราะ..)”
เคยฝันอยากเป็น Conductor
ความจริงแล้ว ความชอบด้านบันเทิงของลูกสาวคุณนาดิมอาจจะได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นบิดาก็เป็นได้ เพราะคุณนาดิมก็มีความชอบในด้านบันเทิงหรือดนตรีเหมือนกัน
คุณนาดิมเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยมีความฝันที่จะก้าวสู่เส้นทางสายดนตรี ฝันอยากเป็น conductor ในสมัยอายุ 14 ปี โดยอยากไปเรียนที่ออสเตรีย อยากเก่งเหมือนโมซาร์ท ผู้เป็นอัจฉริยภาพทางดนตรีของโลก แต่คุณพ่อก็ไม่ให้ไปอีก เมื่อมาอยู่เมืองไทยจึงเหมือนได้ชดเชยความรู้สึกดังกล่าว หลังจากการได้รวมวงกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียนนานาชาติร่วมฤดีตั้งวงดนตรีชื่อว่า โซดีแอค (ZODIAC)ร้องเพลงสไตล์ป็อบร็อค โดยคุณนาดิมเป็นนักร้องนำ เล่นกีตาร์และเป็นหัวหน้าวง มีสมาชิกรวม 9 คน นอกจากนี้ยังเป็นดีเจสำรองไว้คอยสับเปลี่ยนเวลาดีเจ.ประจำหยุดงาน
“เล่นดนตรีอยู่ 3-4 ปีก่อนไปเรียนการโรงแรมและทุกวันนี้เพื่อน ๆ ในวงยังเจอกันอยู่ เล่นดนตรีด้วยกัน ลูกๆรู้จักกันหมด เจอกันในวันเกิดบ้างหรืองานปาร์ตี้”
ได้“สัญชาติไทย” ภูมิใจที่สุด เหมือนเป็นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง
คุณนาดิมบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติคนหนึ่งที่มาอยู่ในประเทศไทยมานาน คุณนาดิมก็ไม่ต่างจากอีกหลายคนที่ใฝ่ฝันอยากได้ “สัญชาติไทย” เป็นของตนเอง ซึ่งเขาได้สิ่งนี้มาแล้ว ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขามีความสุขมาก ๆ
“การได้สัญชาติไทยมีความสำคัญมาก เพราะทำให้มีสิทธิ์มีเสียง เลือกตั้งได้ แต่สิ่งสำคัญคือ ทำให้ผมมีความรู้สึกเหมือนมีประเทศของตนเองแล้ว เป็นเจ้าของประเทศด้วย เพราะออกจากเลบานอนมาอยู่ในไทย ความรู้สึกก่อนหน้านี้เหมือนไม่รู้ว่ารากของตนเองอยู่ที่ไหน
ได้สัญชาติมาประมาณ 5 ปีแล้ว หลังจากใช้ความพยายามมานานถึง 4 ปีผลจากติดปัญหาหลายอย่าง ไม่มีใครกล้าเซ็นต์เพราะไม่อยากรับผิดชอบ นี่เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของคนไทยที่ต้องรอถามเจ้านายก่อน ในขณะที่กระบวนการทำตามปรกติเสียแค่ประมาณ 5,000 บาทและเดินเอกสารเท่านั้น ส่วนการสอบมีการทดสอบหลายอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย เช่น ให้ร้องเพลงชาติ การรู้จักมารยาท ต้องไหว้ขอบคุณยามมีคนยกน้ำมาให้และต้องดื่มหน่อยหนึ่งเพื่อเป็นมารยาท ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืม ใครเอาน้ำมาต้องดื่มนิดหน่อย (หัวเราะ)…”
ความรู้สึกของคุณนาดิม ทำให้ทางทีมงานเอซีนิวส์ปลื้มใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นความรู้สึกที่ดี ๆและความรักที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งมีให้ต่อแผ่นดินที่เขามาอยู่อาศัยมากกว่า 30 ปี
และสิ่งที่ทำให้ต้องปลื้มยิ่งขึ้นอีก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นว่า ภายในห้องทำงานของคุณนาดิม มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย
คุณนาดิมเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ทีมงานเอซีนิวส์รู้สึกซึ้งใจและดีใจแทนคนไทยทั้งประเทศว่า “ผมไม่ได้เอามาโชว์เฉย ๆ นะ แต่เป็นเพราะว่า ผมรักในหลวง”
และนี่คือเรื่องราวของเขา CEO อารมณ์ดีที่บอกใครๆเสมอว่า “ผมเป็นคนไทย เกินร้อยเปอร์เซ็นต์” นาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอบีพี คาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านโอบองแปงในประเทศไทย
ข่าวเด่น