ฟอร์ด สบชัย ไกรยูรเสน
ชีวิตมีสิ่งท้าทายเสมอ
เหมือนการพิชิตภูเขาลูกใหม่
เมื่อเอ่ยถึง “ฟอร์ด” หรือ “สบชัย ไกรยูรเสน” หลายคนต้องนึกถึงภาพลักษณ์ศิลปินนักร้องเสียงดีที่มีทรงผมยุ่ง ๆ เป็นเอกลักษณ์ ผู้ชายคนนี้มีเรื่องราวการต่อสู้ที่น่าสนใจ ยอมหันหลังให้กับอนาคตนักกฎหมายที่คุณพ่อขีดเส้นให้เดิน เพื่อหวังได้เป็นศิลปินนักร้องตามความฝันจนประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่วัย 20 ปีต้น ๆ โดยมีผลงานขึ้นชาร์ตติดอันดับท็อปเท็นนานกว่า 50 สัปดาห์เป็นที่ยอมรับและเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ณ วันนี้ เขายังคงโลดแล่นอยู่ในธุรกิจบันเทิง รวมถึงร้านอาหารเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่น ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยให้ผู้พิสมัยเนื้อย่างทุกรายได้ลิ้มรสชาติความอร่อยของเนื้อวัวญี่ปุ่นแท้ ๆ
“คุณฟอร์ด” เป็นตัวอย่างศิลปินที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักร้อง นักดนตรีมีชื่อและทำธุรกิจบันเทิงเพื่อยืนบนลำแข้งของตัวเองได้จากความมานะอุตสาหะของตนเอง แม้เส้นทางสายนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากบุพการีนัก โดยเฉพาะคุณพ่อ ในขณะที่เขามีผลงานสร้างสรรค์ความบันเทิงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังให้แฟนคลับได้รู้จัก
คุณฟอร์ดเล่าว่า ได้ถือกำเนิดในครอบครัวที่มีกลิ่นอายบ้าน ๆและความเป็นต่างจังหวัด เนื่องจากคุณพ่อเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนคุณแม่เป็นชาวเมืองเก่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยามาสร้างครอบครัวอยู่ในกรุงเทพฯ คุณฟอร์ดถือกำเนิดในย่านฝั่งธนบุรี ก่อนที่จะย้ายมาอยู่เขตแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี ในวัยประมาณ 3 ปี ซึ่งในสมัยนั้น คุณฟอร์ดยังมีโอกาสได้เห็นพื้นที่แจ้งวัฒนะมีสภาพเป็นธรรมชาติ เป็นทุ่งท้องนากว้างขวาง 40-50 ไร่และยังมีวัว-ควายให้เห็นอยู่ตามท้องทุ่งนา ก่อนจะกลายสภาพมาเป็นเขตเมืองมีประชาชนอยู่หนาแน่นเช่นในปัจจุบัน
ครอบครัวปลูกฝังด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในวัยเด็ก คุณฟอร์ดจะมีเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กลูกหลานชาวนาอยู่หลายคน โดยในวัยเด็กคุณฟอร์ดเรียนโรงเรียนใกล้บ้านอย่าง โรงเรียนไผทอุดมศึกษา ในระดับประถมศึกษา ก่อนจะย้ายไป โรงเรียนไกลอำนวยวิทยาเมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาตอนปลายจากนั้นในระดับมัธยมศึกษาได้สอบเข้าเรียนที่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี ได้ ซึ่งในช่วงระดับประถมและมัธยมนี้เองที่ ชีวิตของคุณฟอร์ดมีความผูกพันกับ “ดนตรี” อย่างลึกซึ้งแน่นเหนียว จนสุดท้ายผลักดันให้เขาก้าวสู่เส้นทางบันเทิงในที่สุด
การโปรดปรานด้านดนตรีของคุณฟอร์ดดูเหมือนซึมลึกไปในจิตวิญญาณก็ว่าได้ เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากพื้นฐานของครอบครัวเป็นสำคัญ โดยคุณพ่อของเขาแม้จะเป็นทนายความ แต่ก็มีฝีมือในการเล่นไวโอลิน ทรัมเป็ตและร้องเพลงเพราะ ในสมัยเรียนคุณพ่อปลูกฝังให้คุณฟอร์ดเล่นดนตรีและร้องเพลงมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ
โดยเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่คุณฟอร์ดได้รับ เป็น “กีตาร์” ที่คุณพ่อซื้อให้ตั้งแต่เขาอยู่ชั้น ป.4 เท่านั้นและได้ฝึกหัดเล่นกีตาร์ตามประสาโดยกางตำราดู หลังจากนั้นคุณฟอร์ดยังฝึกเล่นเครื่องดนตรีไทยอย่าง “ซออู้” ด้วยอย่างจริงจัง จนมีฝีมือระดับที่เข้าวงได้เลย
คุณฟอร์ดเล่าว่า หลังจากจบชั้นป. 6 และสอบเข้าม.1 ของ รร.สวนกุหลาบนนท์ฯ ได้จึงเข้าร่วมวงดุริยางค์ของโรงเรียนและเป็นรุ่นแรกของโรงเรียน ซึ่งเล่นเครื่องดนตรีทองเหลือง คอร์เน็ต ทรัมเป็ต แต่จะเล่นทรัมเป็ตเป็นหลัก ส่วนแซกโซโฟนเพิ่งมาเล่นภายหลัง เครื่องดนตรีเหล่านี้ได้รับบริจากจากกรมตำรวจ
คุณฟอร์ดหัวเราะด้วยความชอบใจเมื่อย้อนรำลึกถึงวัยเรียนว่า “ความที่เป็นรุ่นแรกทำให้มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใครหน่อย ทำให้เรามีโอกาสมั่วเล่นได้ทุกเครื่อง เพราะน้อง ๆ ไม่กล้าหือ เวลารุ่นน้องมาเห็นเราซ้อมดนตรีจะตกใจถอยออก เราก็จะเอ้ย ! ตกใจทำไม เข้ามา เราเป็นรุ่นปู่ขนาดนั้นจริง ๆเหรอ”
เดินสายประกวดทดสอบฝีมือ
ในระหว่างเรียนชั้นมัธยม คุณฟอร์ดได้ร่วมทำกิจกรรมด้านดนตรีและกิจกรรมอื่น ๆ ตลอดเวลา โดยเป็นตัวแทนของโรงเรียนประกวดร้องเพลงบ้าง ประกวดโฟล์คซองและอื่น ๆ มากมาย เนื่องจากเป็นเด็กชอบทำกิจกรรม
“งานไหนได้ที่ 1 สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน ก็ไปยืนหน้าเสาธง (หัวเราะ..) วันไหนทำผิดระเบียบก็ไปยืนที่หน้าเสาธง (หัวเราะ) เป็น 2 ฝั่งอย่างนี้ไปตลอด คือ การทำผิดระเบียบกับสร้างชื่อเสียง จากเหตุดังกล่าวจึงทำให้ตนมีความผูกพันกับอาจารย์มาก เพราะมีเวลาอยู่ด้วยกันนอกเหนือเวลาเรียนมาก
นอกจากนี้ยังทำให้ชอบการแข่งขัน ไม่ได้แข่งเพื่อเอาชนะ แต่เพื่อทดสอบตัวเอง ว่าถึงไหนแล้วและหาข้อบกพร่องของตัวเองไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังแสวงหาประสบการณ์ในเวทีใหญ่ ๆอย่างสยามกลการ ยามาฮ่า อวอร์ด ด้วยทั้งแบบร้องเดี่ยวและแบบทั้งวง”
จุดหักเหของชีวิต สู่เส้นทางบันเทิง-นักร้องอาชีพ
คุณฟอร์ดกล่าวว่า หลังจากได้เข้าประกวดแข่งขันอย่างหนักนั้น มีรุ่นพี่บางคนเห็น ก็เลยชวนไปเล่นดนตรีอาชีพ จึงเป็นจุดแรกเริ่มของการก้าวสู่การเป็นนักดนตรีอาชีพในช่วงอายุประมาณ 17-18 ปี
และในขณะนั้นเองเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คุณฟอร์ดสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.)พอดีเป็นคณะสังคมศาสตร์
แต่คุณพ่อไม่ให้ไปเพราะคาดหวังที่จะให้ลูกได้ศึกษาร่ำเรียนด้านกฎหมาย ได้มีอนาคตไกล โดยสุดเส้นทางนี้อาจหมายถึงการได้เป็นผู้พิพากษาอันทรงเกียรติ ไม่อยากให้เป็นนักดนตรีที่ไม่สามารถคาดเดาความสำเร็จได้
คุณฟอร์ดได้เลือกที่จะตามใจคุณพ่อ ไม่ไปเชียงใหม่และได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าทำมาก่อนคือ “การเรียนกฎหมาย” ที่คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยแลกเปลี่ยนกับการขออนุญาตให้ตนมีโอกาสได้เล่นดนตรีด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้เสมือนจุดหักเหสำคัญ ที่ทำให้คุณฟอร์ดก้าวสู่เส้นทางสายดนตรีในช่วงชีวิตต่อมานั่นเอง
“เมื่อไม่ได้ไปมช.และเราต้องทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำเลยในกรุงเทพฯ คือ “การเรียนกฎหมาย” ก็เลยต้องขอปูดอีกข้าง ด้วยการขอคุณพ่อเล่นดนตรีไปด้วย เพราะไม่อย่างนั้นอกแตกแน่!! (หัวเราะ…)”
หลังจากนั้นคุณฟอร์ดได้เล่นดนตรีไปเรื่อย ๆ กับรุ่นพี่ ๆ ซึ่งต้องใช้ความพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักมากเพื่อให้ได้การยอมรับในฝีมือ เพราะนั่นย่อมหมายถึง “การอยู่ให้ได้” ในการเริ่มต้นของการเป็นนักดนตรีอาชีพ
“เริ่มวันแรกที่ไปกับพี่ ๆ นั้น เจ้าของร้านบอกว่า ให้เวลา 15 วัน ถ้าไม่ดีขึ้นกว่านี้..ออกทั้งวง เพราะเราใหม่มาก พวกพี่ ๆ ก็ช่วยกันเทรน ช่วยกันป้อนเพลงและซ้อมต่อไปอีก 30 เพลง เล่นคืนหนึ่ง 3-4 ที่ เลิกตี 3-4 ตื่นเช้ามาไปมหาวิทยาลัย เหมือนต้องใช้ชีวิตควบทั้งกลางวันและกลางคืน เลยหนักหน่อยช่วงนั้น เลยทำให้เรียนไม่ไหว ต้องออกจากเรียนกลางคัน โดยขณะนั้นเรียนไปได้เกือบ 140 หน่วยแล้ว ขาดอีกนิดเดียวประมาณ 20-30 หน่วยซึ่งเป็นวิชากฎหมายทั้งนั้น(หัวเราะ..) และไปมุ่งเป็นนักดนตรีเต็มตัว”
ในระหว่างนั้นหลังสะสมประสบการณ์ได้ 3-4 ปีแล้ว ยังรวมตัวกับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันเพื่อไปประกวดเหมือนเดิม โดยใช้ชื่อวง ฟิวเจอร์ เป็นการใช้ชีวิตกลางคืนอย่างเต็มเหนี่ยว ทิ้งการเรียนไปเลย เพราะตอนนั้นทุกอย่างชัดขึ้น ๆ แล้วว่า เราคงไม่หลุดไปจากตรงนี้ง่าย ๆ และคุยกับเพื่อน ๆ ตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า จะมุ่งเป็นอะไร เพื่อไม่ให้ชีวิตในบั้นปลายมีจุดจบตรงที่ไม่มีจะกิน..หรือเล่นดนตรีจนแก่ เหมือนนักดนตรีอาวุโสบางคน เราจะไม่ทำตัวแบบนั้น…”
คุณฟอร์ดเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า หลังจากนั้นคุณฟอร์ดและเพื่อน ๆ ได้ตั้งเป้าว่า อยากจะเป็น “โปรดิวเซอร์” กัน เมื่อทำงานได้เงินมาก็จะไปซื้อเครื่องมือที่มีคุณภาพ ราคาแพง ทั้งเล่นได้และอัดได้ จากนั้นเริ่มมีงานด้านแบ็คอัพหรือเบื้องหลังเข้ามาเป็นงานแรกซึ่งในขณะนั้นเพิ่งอยู่ในวัยประมาณ 21 ปีเท่านั้น โดยได้รับการติดต่อจากคุณอู้ด-สิทธิพร อมรพันธุ์ วงดิอิมพอสสิเบิล ว่า สนใจไปเล่นให้กับ “ตี๊นา” หรือคริสติน่า อากีล่าร์ ในสังกัดบริษัทแกรมมี่หรือไม่ จากนั้นจึงไปทดสอบกับทีมโปรดิวเซอร์และได้เข้าไปร่วมทีมงานของตี๊นาในชุด “จริงไม่กลัว กลัวไม่จริง” ต่อจากนั้นได้ร่วมทัวร์ทั่วประเทศด้วยเป็นระยะยาวถึง 7 เดือน ได้พักประมาณ 5เดือน และได้งานด้านแบ็คอัพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น ทำงานแบ็คอัพให้กับแอม-เสาวลักษณ์ ,กบ-ทรงสิทธิ์ เบื้องหลังละครสามหนุ่มสามมุมและแม้แต่ทาทายัง ก็เป็นลูกค้าขาประจำอีกรายหนึ่ง
เป็นศิษย์มีครู ก่อนทำอัลบั้ม
คุณฟอร์ดได้ใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในการทำงานด้านแบ็คอัพ การบรรเลงดนตรีสร้างความสุขให้กับเหล่านักท่องยามราตรีและไม่เคยทิ้งการประกวดร้องเพลง โดยทำสิ่งเหล่านี้ควบคู่กันไปจวบจนมีโอกาสทำอัลบัมเป็นของตนเองใช้เวลาประมาณ 8 ปี ระหว่างอายุ 17-25 ปี
ก่อนจะมีอัลบั้มเป็นของตนเอง คุณฟอร์ดได้รับโอกาสจากคุณเอก –จิระชัย กุลละวณิชย์ อาจารย์สอนร้องเพลงที่มีลูกศิษย์ลูกหามืออาชีพมากมาย เช่น เจนนิเฟอร์- คิ้ม ,ต้อม ทรงหรรษา และ นภาดา(สายสุนีย์) สุขกฤต ช่วยฝึกฝนการร้องเพลงให้ ทำหน้าที่เหมือน “ป๋าดัน” สุดตัว ด้วยการประกาศจะทำให้คุณฟอร์ดก้าวขึ้นไปอยู่ในเวทีระดับประเทศให้ได้ภายใน 1 ปี ซึ่งคุณฟอร์ดเล่นดนตรีกลางคืนและไปเรียนร้องเพลงในตอนเช้า
การเรียนในครั้งนั้นทำให้คุณฟอร์ดได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งด้านการร้อง การแสดงออกถ่ายทอดอารมณ์ที่แท้จริงบนเวที หลังจากเดิมฝึกฝนเรียนรู้ด้วยตัวเอง และในที่สุดคุณฟอร์ดได้เข้าสู่รอบสุดท้ายบนเวทีแข่งขันของยามาฮา สยามกลการได้สำเร็จในปี 2536 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ลงแข่งด้วย รุ่นเดียวกับคุณเจนนิเฟอร์-คิ้มและยังถือเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเข้ารอบสุดท้าย หลังจากที่ผ่านมาไม่เคยไปถึงฝั่งฝัน ต้องตกรอบไปตั้งแต่รอบแรกก็มี แต่คุณฟอร์ดก็ไมได้ย่อท้อคิดแต่เพียงว่า จะต้องกลับไปฝึกฝนใหม่อีก หลังจากที่คิดว่าตัวเองแน่แล้ว
ผลจากการประกวดร้องเดี่ยวในครั้งนั้น ทำให้คุณหมู-วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา แห่งบริษัท สโตน เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ของค่ายอาร์เอส เรียกไปคุยเพื่อชวนไปทำเพลงครั้งแรก ซึ่งการทำอัลบั้มเป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในเป้าหมายมาก่อนเพราะคุณฟอร์ดใฝ่ฝันที่จะเป็นโปรดิวเซอร์มากกว่า นอกจากนี้ยังไม่มั่นใจในตัวเอง โดยคิดว่า นักร้องต้องเป็นคนหล่อ ใสๆ แต่ตนไม่ใช่แนวนั้น โดยเพลงที่ทำเริ่มแรกมี 3 เพลง ชื่อว่า ง่วง,ตามและรักเธอ และยังมีอัลบั้มตามมาอีก 2 เวอร์ชั่น หน้าปกเป็นรูปตัว F อย่างเดียวไม่มีรูปของเขา โดยเข้าห้องอัดเป็นเดือนก่อนจะไปออกทัวร์ต่อทำแบ็คอัพให้กับทาทายังและแอม-เสาวลักษณ์
ถัดจากนั้น 2-3 เดือน คุณฟอร์ดก็ได้ค้นพบว่า เพลงของตนได้รับความนิยม เข้าไปติดอยู่ในอันดับท๊อปเท็น ได้แก่ เพลง “รักเธอ” และอยู่ติดอันดับท๊อปเท็นอยู่นานถึง 54 สัปดาห์ คู่กันมากับเพลงของวงโมเดิร์น ด็อกในขณะนั้น ซี่งก็มีผลทำให้คุณฟอร์ดต้องแยกตัวมาทำเพลงอย่างจริงจัง
“เราอยู่เบื้องหลังศิลปินมานาน เรารู้ว่าการเป็นศิลปิน มันไม่ง่ายและไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ทุกคน การร้องเดี่ยวต่างจากการร้องเป็นวง แต่ต่อมาจำเป็นต้องแยกออกมาทำเพลงจริงจังและให้เพื่อน ๆ มาเป็นแบ็คอัพให้”
เชื่อ“ประหลาด”ดันสู่ความสำเร็จ
“สิ่งที่คิดว่า ทำให้ประสบความสำเร็จได้ภายใน 3 เดือนเชื่อว่า เกิดจากความลงตัวและด้วยตัวเพลงที่แปลก เพราะไม่ได้อยู่ในสูตรสำเร็จของเพลงในสมัยนั้น ซึ่งมี 90% ที่ทำให้เดาท่อนได้ เดาเมโลดี้ เดาดนตรีได้ คำพูดและแม้แต่คำร้องยังเดาได้เลย แต่เพลงเราเหมือนหลุดกรอบจากตรงนั้นมา รวมถึงตัวเราเองด้วยที่เรียกว่า “ประหลาด” มากกว่า(หัวเราะ..)
ตอนนั้นยังไม่มีเรื่องลุ๊คหรือภาพลักษณ์มาเกี่ยวข้องเลย จำได้ว่าเพิ่งมาทำเป็นเรื่องเป็นราวตอนที่มีหนังสือแพรวนัดสัมภาษณ์ ตื่นเต้นมากจึงเป็นที่มาของทรงผมเดทร๊อคยาวนานสลับกับผมทรงกระทุ่ม ๆยุ่ง ๆ ”
หลังจากนั้นคุณฟอร์ดได้ทำเพลงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นโปรดิวเซอร์เองด้วยและให้เพื่อน ๆในวงการกลางคืนมาช่วยทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงเพื่อน ๆ วงฟิวเจอร์และทำงานกันอย่างหนักใช้ชีวิตอยู่ในห้องอัดกันเลยเป็นเวลาถึง 3 เดือน
“เพราะเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานสตูดิโออย่างจริงจังมาก่อน ไม่เคยเป็นโปรดิวเซอร์ ไม่เคยแต่งเพลงและเข้าห้องอัดเลยมาก่อน แต่ทุกอย่างต้องรีบทำให้เสร็จ โดยมีพี่เลี้ยงอยู่ 2-3 คน คอยให้คำแนะนำ เหมือนเราเรียนรู้ระบบการเป็นโปรดิวเซอร์ภายใน 1 อัลบั้ม ทุกอย่างดูแลทำเองหมดในวัยเพียง 25 ปี เหมือน “มวยวัด” ละครับตอนนั้น โดยมีผู้สนับสนุนให้งบประมาณมาก้อนหนึ่ง แต่มีควักของตัวเองด้วยบางส่วน เพราะต้องการทำให้ดีที่สุด
ทุกครั้งที่ทำอัลบั้มควักทุกทีละครับ ทำงานเอาโล่ห์ครับ(หัวเราะ) เพราะเคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งให้คำแนะนำว่า การทำงานในสตูดิโอที่เรคคอร์ดไว้ มันจะติดตัวเราไปจนตาย มันกลับมาแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องทำให้จบที่สุด ไม่ใช่ว่ามามองย้อนทีหลังไปแล้ว มานั่งอายงานตัวเองหรือเสียดายงานตัวเอง ก็เลยจำคำนั้นไว้ ”
การทำงานอย่างทุ่มเทในครั้งนั้น ส่งผลให้เพลง“ตราบใด” ของคุณฟอร์ดโด่งดังอีกครั้ง เพราะมีการนำไปใช้เป็นเพลงประกอบละคร “สามใบไม่เถา”
“ผลงานเพลงที่แต่งเองในอัลบั้มแรกมีอยู่ประมาณ 20% ส่วนที่แต่งเองเยอะหน่อยจะอยู่อัลบั้มที่ 2 และ 5-6 ส่วนผลงานที่ออกมาทั้งหมดกระทั่งปัจจุบันที่เป็นของตัวเองเพียว ๆ มีประมาณ 10 อัลบั้ม แต่ถ้ารวมอัลบั้มพิเศษด้วยมีประมาณ 20-30 อัลบั้ม”
เตรียมผุดบริษัทใหม่หลังบาดเจ็บมาแล้ว
คุณฟอร์ดยังเล่าด้วยว่า ที่ผ่านมาได้ออกจากอาร์เอสมาประมาณ 8 ปีแล้ว เพื่อมาทำบริษัทเป็นของตัวเองและอยากยืนด้วยตัวเอง หายใจด้วยตัวเองว่าจะอยู่ได้ไหม ก็พิสูจน์ว่า อยู่ได้ แต่เราต้องอึดหน่อย บริษัทเคยมีและปิดไปแล้ว เนื่องจากการอ่อนประสบการณ์ และหละหลวมเรื่องบัญชี เรื่องภาษี แต่ยังคงทำงานอยู่ในสายงานนี้ตลอดเวลา ถือคติทำงานไปเรื่อย ๆ ในลักษณะของการรับจ้างผลิตเพลงให้มากกว่าเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์ ซึ่งไม่ใช่ในรูปบริษัทที่แท้จริง
แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้คุณฟอร์ดเตรียมเปิดบริษัทใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเก่า ทว่าจะเป็นการก้าวไปอย่างมั่นคง หลังจากมีประสบการณ์ต้องล้มเหลวบาดเจ็บมาแล้ว โดยบริษัทใหม่จะมีชื่อเรียกว่า “Nine Fox” หรือ “จิ้งจอก 9 หาง” และ ในช่วงปลายปีนี้จะมีอัลบั้มใหม่แต่ยังไม่มีชื่อออกมาอีก รวม 10 เพลง ทำเป็นซีดี ซึ่งจะมีผลิตจำกัดเพียง 1,000 แผ่นเท่านั้นและวางขายในงานคอนเสิร์ตของตนเอง โดยเพิ่งทำเพลงแรกไปมีชื่อ “ออกทะเล” แนวเบา ๆ อันที่ 2 เป็นแนวป็อบ ซึ้งจนต่อมน้ำตาแตก หลังทำเพลงเสร็จก็จะเริ่มวางกิจกรรม MV ให้น้อง ๆ นักศึกษาเข้ามาประกวดกัน จะปล่อยตามเว็บไซต์ยูทูบ ส่วนงานดนตรีทุกวันนี้ยังคงทัวร์คอนเสิร์ตเหมือนเดิม ไม่ได้หยุด ชีวิตนักดนตรีเต็มเหนี่ยว เวลานี้ยังกำลังเริ่มตุนเลือดใหม่ ๆ ที่มีความตั้งใจจริงด้วยเหมือนกัน แต่ตอนนี้ให้พวกเขาทำความเข้าใจกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนค่อย ๆ ผลักดันไปทีละนิด ๆ
สำหรับบริษัทใหม่จะมีรูปแบบเป็นโปรดักชั่นเต็มตัว ผลิตงานในสตูดิโอเต็มตัวและอีเวนท์ งานคอนเสิร์ต งานเฟสติวัลต่าง ๆ ทั้งรับจ้างผลิตและผลิตเอง เพราะที่ผ่านมายังมีประสบการณ์รับงานด้านมิวสิคไดเร็คเตอร์ คอนซัลรายการทีวี หนัง ละคร และคอนซัลคอนเสิร์ต อีเวนท์ อยู่แล้ว เช่น อยากทำคอนเสิร์ตแบบนี้ ๆ มีงบเท่านี้ นอกจากนี้จะไม่มีการลงทุนทำสตูดิโอเป็นของตัวเอง เพราะปัจจุบันมีพันธมิตรสตูดิโอหลากหลายให้เลือกใช้งาน หรือที่เรียกว่า สามารถให้ช็อปปิ้งได้ ว่าจะเอาแบบไหน รุ่นไหน คุณภาพหรือราคาเท่าไร ตั้งแต่สายลูกทุ่งไปจนถึงสายนิวยอร์ค เขาทำธุรกิจสตูดิโอเต็มตัว ไปใช้ของเขาที่เป็นมืออาชีพดีกว่า
“แนวคิดการบริหารแบบนี้ได้จากประสบการณ์และการที่มีโอกาสร่วมงานกับศิลปินที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนล ที่เขามีระบบการจัดการที่เป๊ะ เราค้นพบแล้วว่า ไม่ควรมี ถ้าเราดันทุรังทำสตูดิโอเองผลคือ 1.ค่าสร้าง 2.เอาของมาลง 3.ไม่มีคนใช้เงินจม 4.ใช้ไปนานต้องมีค่าซ่อมบำรุงหรือปลวกกิน สู้ไปใช้ของคนอื่นดีกว่า เราเลือกได้ ยืดหยุ่นได้ งบมากงบน้อย เช่น เราอยากได้ไมล์ตัวละ 1-2 แสนเราก็ได้ อยากใช้แอมป์ ตัวละ 5 แสน ก็ได้หรืองานหน้าอยากเปลี่ยนใหม่ เพราะอัดกลองห้องนี้ไม่เพราะเรา เป็นต้น เน้นการทำงานอย่างมืออาชีพ”
การได้รับการยอมรับมายาวนาน ชี้วัดความสำเร็จ
มาถึงวันนี้นับว่า คุณฟอร์ดถือเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง หลังจากต้องต่อสู้ ทำงานอย่างหนักและล้มเหลวจนถึงขั้นต้องปิดบริษัทก็มี แต่คุณฟอร์ดก็ไม่ได้ย่อท้อและสามารถยืดหยัดอยู่ในวงการบันเทิงมาได้
เมื่อถามถึงความสำเร็จที่ภาคภูมิใจ คุณฟอร์ดคิดว่า ตอบยากเพราะเมื่อประสบความสำเร็จในเรื่องหนึ่ง ก็จะมีงานใหม่ ๆ สิ่งท้าทายใหม่ ๆ มาให้ทำหรือมารออยู่เสมอ ยกตัวอย่าง “เมื่อขึ้นดอยอินทนนท์ได้แล้วยังมีเขาลูกอื่นให้อยากฝ่าฟันขึ้นไป ไม่ได้หวังพิชิตความสูง แต่อยากไปศึกษาภูเขาลูกอื่นๆ บ้าง” แต่สิ่งที่คิดว่า ประสบความสำเร็จในชีวิตจริง ๆ คือ การถึงจุด ๆ หนึ่งที่เราสามารถวางทุกสิ่งได้และไปเที่ยวรอบโลกได้อย่างสบายใจ
นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นศิลปิน นักร้อง คุณฟอร์ดคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จขั้นหนึ่ง ที่สามารถผลักดันความเป็นตัวของตัวเองออกไปและคนขานรับ และผลลัพธ์นี้ยังอยู่ได้ยาวนานมากระทั่งถึงทุกวันนี้ ตรงนี้ที่ถือว่า ประสบความสำเร็จมาก
ส่วนความสำเร็จที่สำคัญที่สุดและมีความสำคัญต่อเขามากคือ การสามารถทำให้คุณพ่อยอมรับในตัวเขาได้นั่นเอง
“หลังจากเคยมีเป้าหมายไม่ตรงกันระหว่างผมและคุณพ่อ แต่ในที่สุดหลังเวลาผ่านมาประมาณ 10 ปี ได้ออกอัลบั้มแล้ว คุณพ่อเดินมาตบไหล่และบอกว่า มันมุ่งมั่นจริง ๆ มาถึงขั้นนี้ได้เก่งมากลูก แค่นั้นแหละเหมือนโลกมันเปิด เคลียร์ทุกอย่างได้อย่างสบายใจ มันเกินกว่าเป้าสิ่งที่เขาตั้งเอาไว้เยอะ ภาพของเขาที่เราเห็นคือ ท่านมองเห็นผมนั่งบัลลังก์เคาะ ๆ เป็นผู้พิพากษา (หัวเราะ..)
ทำร้านอาหาร..สนองโปรดเนื้อย่าง
นอกจากธุรกิจด้านบันเทิงแล้ว คุณฟอร์ดยังมีธุรกิจร้านอาหารอีกอย่างมีชื่อว่า “GYU GYU TEI feat .ฟอร์ด” เป็นร้านเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่น โดยให้เหตุผลว่า ตนเดินทางบ่อยและโปรดเนื้อย่างเป็นอย่างมาก หลังรถจึงมีอุปกรณ์ปิ้งย่างครบครัน นอกจากนี้ยังอยากทำอะไรบางอย่างในระยะยาวทิ้งไว้ให้ที่บ้าน เพราะธุรกิจของตนเหมือนกองโจรเกินไป โดยร้านอาหารนี้ได้ให้ศรีภรรยาคือ คุณ สุรดา ไกรยูรเสน เป็นผู้ดูแลเป็นหลักและตนเป็นผู้ช่วย
สำหรับภรรยาของคุณฟอร์ดนั้น มีดีกรีเป็นถึงอดีตแอร์โฮสเตสของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์มาก่อน ซึ่งทั้งเธอและเขามีความเหมือนกันตรงที่เป็นคนที่มีชีพจรลงเท้าเหมือนกัน คือ ต้องเดินทางบ่อยเหมือนกัน พบกันครั้งแรกที่ผับแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทออร์แกไนเซอร์เล็ก ๆที่เธอทำร่วมกับน้องทำงานให้
“การทำงานในลักษณะออร์แกไนซ์ที่ต้องเชื่อมกับศิลปินตลอด ทำให้คุณสุรดาไม่ได้ตื่นเต้นกับการเป็นนักร้องแต่อย่างใด การคุยกันจึงอยู่ในฐานะคนธรรมดา สามัญปรกติและไม่ได้รู้สึกว่าใครเป็นอะไร และเขาก็รู้จักกับน้องชายผมที่เป็นสจ๊วร์ต ก่อนจะคบหาดูใจและแต่งงานกันในที่สุด โดยแต่งงานมาได้ 6 ปีแล้ว ปัจจุบันมีพยานรักเป็นบุตรชายวัย 4 ปี 1 คน มีชื่อว่า น้อง ไตรย์ หรือ เฮง เฮง
เขาเป็นผู้หญิงในสเปคมาก ชอบในความคิด ชอบวิธีที่เขามองโลก ชอบในความเป็นคนปกติของเขามาก ๆ เขาเป็นผู้หญิงที่ธรรมด๊า ธรรมดา ผู้หญิ๊งผู้หญิงจริง ๆ เป็นผู้หญิงที่ไม่ใช่เมืองจ๋า อาจเป็นเพราะทำงานกับสายการบินต่างชาติ เขาจึงมีบุคลิกที่ค่อนข้างลุย ๆ และต้องไปฝ่าฟันกับคนต่างชาติเยอะ”
สูตรเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่นผสมไทย
ส่วนที่มาของ“GYU GYU TEI feat .ฟอร์ด” นั้น คุณฟอร์ดอธิบายว่า เป็นร้านเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่น GYU แปลว่าเนื้อ เจ้าของสูตรเป็นคนไทยไปอยู่ญี่ปุ่นมานานถึง 20 ปีและรู้จักสนิทสนมกันดี คุณฟอร์ดจึงทำร้านเนื้อย่างโดยเอาสูตรทั้งหมดของเขามาและได้ศึกษาความรู้จากเขาด้วย
สำหรับเจ้าของตำรับเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่นรายนี้ได้แก่ คุณรักษ์ เกรียงไกร ซึ่งเคยไปทำงานที่ญี่ปุ่นตั้งแต่อายุ 28 ปีและเพื่อนแนะนำให้ทำงานที่ร้าน “โจโจเอ็น” (JOJOEN) ร้านเนื้อย่างญี่ปุ่น(YAKINIKU)อันดับ 1 ที่มีสาขามากกว่า 50 ร้านทั่วโตเกียว โดยในตอนนั้นคุณรักษ์ยังทำอะไรไม่เป็นและเริ่มงานด้วยการล้างจาน ยำผัก จัดกิมจิ ทำอยู่ประมาณปีครึ่งจึงได้ไต่เต้าฝึกหั่นเนื้อ หมักเนื้อ จากนั้นทำอยู่อีก 8 ปีจึงออกมาเปิดร้านกิวกิวเต้เป็นของตนเองครั้งแรกที่เมืองชิบะ โดยทำอยู่นานกว่า 10 ปีจนถึงช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซา เขาจึงตัดสินใจปิดร้านที่ญี่ปุ่นแล้วกลับมาเปิดร้านกิวกิวเต้ที่เมืองไทย
ส่วนเคล็ดลับความอร่อยของร้านกิวกิวเต้ที่ต้องเชิญชวนให้ไปชิมกันนั้นมาจาก การที่คุณรักษ์ได้พัฒนาน้ำจิ้มของทางร้านให้มีรสชาติถูกปากคนไทยมากขึ้น
เคล็ดลับอีกอย่างยังมาจาก การใช้เนื้อวัวญี่ปุ่น(Wagyu) ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์วัวที่ดี ไม่มีประวัติของการปะปนสายเลือดยุโรป เป็นวัวญี่ปุ่นแท้ ๆ ได้แก่ วัวสายพันธุ์พื้นเมืองชื่อว่า "Japanese Black" ที่ได้รับการจัดเกรดคุณภาพเนื้ออยู่ในระดับที่ดีที่สุดของโลกเลยทีเดียว
ทั้งนี้เนื้อวัวญี่ปุ่นที่สุดยอดมาก ๆ มี 2 แบบมาจากวัวที่ได้รับการเลี้ยงดูจาก 2 แหล่งด้วยกัน แบบแรก คือ เนื้อวัวญี่ปุ่นมีไขมันต่ำและให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 จึงได้รับสมญาว่า "King of Beef" ผลิตจากวัวที่เจริญเติบโตจากโรงเรือนไม้ในบรรยากาศที่เงียบสงบของเมืองมัตสึซากะ ทางทิศตะวันออกของเมืองโกเบ บนเกาะฮอนชูได้รับการนวด เลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ยาวนานกว่าวัวทั่วไป กินอาหารหยาบที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่น ข้าวสาลี หญ้าแห้ง กากถั่วเหลืองและยังกินเบียร์ด้วยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทุกวันมันจะต้องได้ฟังเสียงเพลงและได้เดินออกกำลังกายในช่วงบ่าย
สุดยอดเนื้อแบบที่ 2 คือ เนื้อวัวเกรดเยี่ยมมีคอเลสเตอรอลต่ำ ฉ่ำน้ำ ซึ่งได้รับฉายาว่า "Queen of Beef" ผลิตจากบ้านวัวแห่งโกเบ ที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยการนวดเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ แต่ที่นี่วัวได้รับการเลี้ยงดูโดยให้กินอาหารข้นคุณภาพสูง รวมทั้งเบียร์และเหล่าสาเก
โดยรวมแล้วนับว่ามีมาตรฐานระบบการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ ลดการปล่อยของเสียและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตรงตามหลักของ Animal Welfare ช่วยให้มั่นได้ถึงความปลอดภัยในการบริโภค
“GYU GYU TEI feat .ฟอร์ด” จึงเป็นร้านอาหารย่างเต็มรูปแบบ โดยมีดนตรีเป็นของแถมให้ นาน ๆ ทีจะมีอีเวนต์เล็ก ๆ ของคุณฟอร์ดเองบ้างและในช่วงปลายปีอาจมีอีเวนต์พิเศษมอบให้แก่ลูกค้าด้วย
เอ้า ใครโปรดเนื้อย่าง ว่าง ๆ แวะไปอุดหนุนร้านของคุณฟอร์ดกันได้ ที่ เลขที่ 29/68 หมู่บ้านเมืองทอง 1. ซอยแจ้งวัฒนะ 14 ถนนแจ้งวัฒนะ. แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่. กรุงเทพฯ 10210
TEL. 081-3999161 / 02-990-7715 หรือติดตามข้อมูลใหม่ ๆ หรือโปรโมชั่นของทางร้านได้ที่ www.featford.com
ข่าวเด่น