ปรียนันท์ แสงดี
ปฏิเสธการเป็นมนุษย์เงินเดือน วันนี้เธอคือ เจ้าของ 3 ธุรกิจ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต สร้างหลักฐานมั่นคงให้กับชีวิตได้ มักจะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กัน นั่นคือ ความขยัน หมั่นเพียรและการไม่ย่ำอยู่กับที่
ลักษณะเช่นนี้มีอยู่ในผู้หญิงทำงานอย่าง คุณกุ๊ก หรือ ปรียนันท์ แสงดี สาวสวยอดีตลูกหม้อธนาคารธนชาต ซึ่งชีวิตของเธอดูเหมือนรู้จักกับคำว่า "ทำงาน" เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองและแบ่งเบาภาระของบุพการีตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนจะมุ่งทำงานสร้างตัวเพื่อความมั่นคงและความสุขของครอบครัว จนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง ทั้งกิจการเสื้อผ้า แบรนด์ Koo Koo ที่เธอดีไซน์เองโดยเริ่มมีหน้าร้านที่สวนจตุจักร จนปัจจุบันได้ส่งไปขายไกลในหลายประเทศ รวมถึงธุรกิจร้านไอศกรีมมะม่วงและธุรกิจที่ร่วมลงทุนกับเพื่อสาวรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพนั่นก็คือ ฟาร์มเห็ด กระทั่งบัดนี้เธอยังไม่หยุดคิดที่จะต่อยอดธุรกิจไปเรื่อย ๆ จนในรอบ 1 สัปดาห์แทบไม่เหลือไว้ให้ใคร เพราะเธอทำงานครบ 7 วันต่อสัปดาห์ ชนิดที่ผู้ชายอกสามศอกบางคนยังต้องอายเลยทีเดียว
ถือกำเนิดในครอบครัวคนยากแต่อบอุ่น
คุณกุ๊กได้บอกเล่าถึงชีวิตก่อนที่จะประสบความสำเร็จในปัจจุบันว่า พื้นเพดั้งเดิมของเธอไม่ได้เป็นคนกรุงเทพฯ โดยคุณพ่อคุณแม่เป็นคนต่างจังหวัด ใน อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีษะเกษ ซึ่งคุณพ่อเข้ามาอยู่กรุงเทพฯก่อนตั้งแต่อายุ 14-15 ปี เพื่อมาเรียนหนังสือ โดยมาอาศัยกับหลวงตาที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งหลวงตามีบุญคุณล้นเหลือส่งให้ท่านได้ร่ำเรียนจนได้เข้าทำงานที่โรงงานสุราบางยี่ขัน
หลังคุณพ่อได้ทำงานแล้ว จึงไปรับคุณแม่มาอยู่ด้วยเพื่อสร้างครอบครัวที่มีความสุขด้วยกันที่กรุงเทพฯ คุณกุ๊กมีพี่น้องรวม 4 คน โดยคุณกุ๊กเป็นคนที่ 3
คุณกุ๊กเล่าว่า ชีวิตวัยเด็กของเธอก็เที่ยววิ่งเล่นไม่ต่างจากเด็กทั่วไป และยังทันได้เล่นการละเล่นเก่า ๆของเด็กไทยหลายอย่าง เช่น เล่นยาง ทอยเส้น กระโดดเชือก มอญซ่อนผ้าและ รี ๆ ข้าวสาร ซึ่งแทบไม่มีให้เห็นแล้วในยุคสมัยปัจจุบันเพราะเด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจเทคโนโลยี และโซเชี่ยลมีเดีย
"ตอนเด็ก ๆ เป็นเด็กค่อนข้างเรียบร้อย มีหน้าตาเหมือนแขก ทั้งที่ไม่มีเชื้อแขก แต่คุณแม่สวย โดยลักษณะเด่นทางฝั่งคุณแม่ตาจะโต จมูกโด่ง ในช่วงม.1 ขี้เหร่มากเพราะต้องตัดผมสั้นทำให้ผมม้วน หยิกหยอย เพื่อน ๆจึงเรียกว่า ไอ้หยิก ไอ้หยอง…หัวเราะ…
ส่วนเรื่องเที่ยวก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหน ถ้าไปจะไปกับทางโรงเรียนมากกว่า ไปทัศนศึกษาหรือเข้าค่าย และเหมือนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก โตกว่าเพื่อน ๆ ชีวิตจึงเหมือนอยู่กับงานมากกว่า แต่อยู่กับงานก็ไม่เคยเบื่อ "
ฉายแววเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่เด็ก
คุณกุ๊กเล่าว่า คุณพ่อคุณแม่เรียนมาน้อยจึงสนับสนุนให้ลูก ๆมีโอกาสได้ร่ำเรียน ซึ่งในวัยเด็ก คุณกุ๊กเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนศรีอุไรใกล้บ้าน หลังจากนั้นเรียนต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดบวรมงคลซึ่งเน้นใกล้บ้านอีกเช่นเคย จนกระทั่งจบชั้นม.3 จึงไปเรียนต่อที่โรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย เนื่องจากมองว่า ตนเองเหมาะกับทางสายอาชีพมากกว่า
ในช่วงเรียนระดับชั้นปวช.นี้เองที่คุณกุ๊กเริ่มฉายแววที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่เด็กๆและขวนขวายเริ่มชีวิตทำงานเพื่อหารายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเล่าว่า ในขณะเรียนปวช.อยากจะหาอะไรไปขาย จึงเริ่มต้นด้วยซื้อกิ๊ฟติดผมมาแกะดูว่าทำอย่างไรและตกแต่งกิ๊ฟติดผมสวยงามเก๋ไก๋ไปขายเพื่อน ๆ ชิ้นละ 40-50 บาท ซึ่งไม่แพงนัก เพื่อน ๆ สามารถซื้อใช้ได้
ในช่วงที่เรียนระดับชั้นปวช. ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่วัยสาวรุ่นแรกแย้มนี้เอง แววความสวยเริ่มเฉิดฉายพร้อม ๆ กับแววค้าขาย ทำให้คุณกุ๊กได้รับเลือกให้เป็นดรัมเมอเยอร์ของโรงเรียนถึง 2 ปีซ้อน คือในชั้นปวช.ปี1และปี 2
และความสวยสดใสนี้ ยังทำให้ในช่วงชีวิตถัดมา คุณกุ๊กได้มีโอกาสไปถ่ายโฆษณาสินค้าอีกหลายชิ้น เป็นนางแบบ รวมถึงมีงานละครและภาพยนตร์บ้างเล็กน้อย ทำให้สามารถมีรายได้เสริมหรืออาชีพรองอีกทางหนึ่ง
ตัวอย่างผลงานโฆษณาของคุณกุ๊ก เช่น งานถ่ายโฆษณาอาหารแมวยี่ห้อ Whiskasที่ในขณะนั้นจะมาเปิดตลาดครั้งแรกในเมืองไทย ที่ไปถ่ายที่มาเลเซีย
" งานโฆษณาชิ้นนั้นต้องถ่ายกับแมวด้วย ซึ่งไม่ค่อยโปรดเอาเสียเลย แต่ตอนไปถ่ายถือเป็นความโชคดีมากเพราะแมวหลับ... หัวเราะ ….และในฉากต้องลูบแมว แสดงความรักเอ็นดูแมว หัวเราะ…พี่ที่ถ่ายทำบอกว่า ลูกค้าชมว่า เราเข้ากับแมวได้ดี ความจริงแล้วเป็นเพราะมันหลับ...หัวเราะ...
นอกจากนี้ยังมีงานถ่ายภาพนิ่งคู่กับรองนางสาวไทยในสมัยชลิดา เถาว์ชาลี ในสิงคโปร์ งานโฆษณาที่ถ่ายบ่อยมักได้รับบทเป็นแม่รุ่นสาว รวมแป้งเด็กจอห์นสัน ซึ่งต้องถ่ายกับเด็ก ๆ ที่มีบ้างบางครั้งการถ่ายกับเด็กต้องรอนิดนึง เพราะเขาอาจงอแงหิวนม ก็ต้องรอให้เขากินนมก่อน
นับว่า ถ่ายโฆษณามาพอสมควรตั้งแต่อายุประมาณ 19 ปีและตอนนั้นทำงานแล้วและเรียนไปด้วย พร้อมแย้มว่า เคยมีคนมาทาบทามจะให้ไปประกวดนางงามด้วยเหมือนกัน รุ่นเดียวกับคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ปี 2531 แต่คุณแม่ไม่ให้ไป"
สำหรับงานละครคุณกุ๊กบอกว่า มีน้อยมาก เพราะไม่ค่อยเน้น ส่วนภาพยนตร์มีเล็กน้อย โดยที่เพิ่งปิดกล้องไปเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับภาคใต้ที่ยังไม่ได้ออกฉายเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ในบทไม่ได้พูดอะไรเลย…(หัวเราะ) นั่ง ร้องไห้อย่างเดียว
นอกจากงานถ่ายโฆษณาแล้ว คุณกุ๊กยังขยันไปเรียนแต่งหน้าเพิ่มเติมอีกด้วย
"เดิมแต่งหน้าไม่เป็น จึงไปเรียนเพื่อไว้แต่งหน้าตัวเอง ต่อมาแต่งให้กับเพื่อน ๆด้วย และคิดว่า น่าจะทำเป็นอาชีพได้ จึงรับจ้างแต่งหน้าเป็นอาชีพเสริมอีกทาง แต่ปัจจุบันยังรับทำอยู่เป็นบางโอกาส แต่น้อยลงแล้ว เพราะมีงานต้องดูแลครบทุกวัน"
การดูแลตัวเองรักษารูปร่างหน้าตา
เป็นสาวทำงานทุกวันอย่างนี้ คุณกุ๊กยังดูแลตัวเองให้เป็นสาวสวยใสได้อยู่เสมอ แม้วัยจะขึ้นเลข 4 ต้น ๆแล้ว คงต้องสอบถามเคล็ด(ไม่)ลับในการดูแลรักษาความสวย กันหน่อยล่ะว่า คุณกุ๊กดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่งเธอตอบด้วยความเต็มใจและน่าสนใจทีเดียว เพราะเธอไม่ได้มีวิธีดูแลอะไรพิเศษ แต่เน้นการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจมากกว่า
"เป็นคนทานอาหารง่าย ทานได้ทุกอย่าง ไม่จำกัดประเภท ซึ่งอาหารโปรดได้แก่ ส้มตำและน้ำพริก ทานวิตามินบ้าง เป็นคนอารมณ์ดี ไม่ค่อยเครียด เคยเครียดเหมือนกัน แล้วปวดหัวมาก จึงไม่อยากเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ"
กระทั่งเมื่อเรียนอยู่ชั้นปวช.ปี 3 อาจารย์ได้ให้ไปฝึกงานที่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในช่วง 4-5 โมงเย็น เป็นโอเปอเรเตอร์ มีรายได้วันละ 80-90 บาทซึ่งสร้างความดีใจให้กับคุณกุ๊กมากแล้วสำหรับวัยเรียนในขณะนั้น
ต่อมาเมื่อเรียนจบปวช.จึงได้ทำงานที่หน่วยงานแห่งนี้เลยและได้รับการขยับชั้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงานส่วนหน้าคอยต้อนรับลูกค้า ในระหว่างนั้นคุณกุ๊กได้พยายามเรียนต่อไปด้วยในระดับชั้นปวส.ภาคค่ำ โดยเรียนที่โรงเรียนกรุงเทพการบัญชีฯเหมือนเดิม สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
หลังทำงานได้ 5 ปี คุณกุ๊กได้ขยับชั้นขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารภายในองค์กร ก่อนจะย้ายไปอยู่ส่วนวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยเป็นเลขานุการให้กับผู้บริหารต่อประมาณ 7-8 ปี ดูแลงานเอกสารและติดต่อประสานงานประชาสัมพันธ์ ก่อนจะปรับเปลี่ยนไปดูแลด้านงานโฆษณาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแยกธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ออกจากกัน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
ในช่วงเป็นเลขานุการผู้บริหารนี้เอง คุณกุ๊กยังขยันไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีภาคค่ำของมหาวิทยาลัยสวนสุนันทาอีก โดยเรียนสาขาการบัญชี เนื่องจากคิดว่า ทำงานอยู่กับสถาบันการเงินจำเป็นต้องรู้เรื่องตัวเลขบ้าง
ก้าวเป็นเจ้าของร้านเสื้อแบรนด์ตัวเอง
เมื่อสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง คุณกุ๊กเริ่มมองหาธุรกิจทำเป็นของตัวเอง จึงไปดูพื้นที่ที่สวนจตุจักรเพื่อทำร้านขายเสื้อแบรนด์ของตัวเองขาย ซึ่งเป็นที่มาของร้านชื่อว่า KOO KOO SHOP ในเวลาต่อมา โดยร้านนี้ตั้งอยู่ที่สวนจตุจักรโครงการ 23 ซ. 5 เปิดมาตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2009 คุณกุ๊กมาดูแลร้านเองได้ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เวลานี้นับว่าครบรอบ 6 ปีแล้ว
เสื้อผ้าของร้านออกแบบเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ แต่เน้นเนื้อผ้าใส่สบาย ราคาไม่แพง มีทั้งเสื้อกล้ามและเสื้อคอวี ทำแนวส่งออก ซึ่งส่งไปในหลายประเทศทั้งโซนยุโรป (อังกฤษ สเปน) อเมริกา เอเชีย เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์และอินโดนีเซีย เป็นต้น
"การส่งออกนี้ส่วนใหญ่เริ่มต้นมาจากลูกค้ามาดูถึงที่ร้าน บางครั้งมาจากคอสตาริกาก็มี เพราะสวนจตุจักรเหมือนเป็นตลาดระดับโลก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวกันมาก รู้จักกันไปทั่วโลก" คุณกุ๊กเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ
ธุรกิจที่ 2 ร้านไอศกรีมมะม่วง
เมื่อทำร้านเสื้อมาได้ระยะหนึ่ง ด้วยความที่เป็นคนไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ คุณกุ๊กเริ่มมองหาอย่างอื่นทำอีก ซึ่งในที่สุดเธอก็ได้ทำสมใจ เป็นร้านไอศกรีมเพิ่มมาอีกร้านหนึ่ง ตั้งอยู่ที่สวนจตุจักรเหมือนกัน ใกล้กับร้านเสื้อ
คุณกุ๊กเล่าว่า "พอดีมีญาติทำธุรกิจส่งออกมะม่วง มีร้านขายอยู่ที่ตลาดสี่มุมเมือง จึงเกิดแนวคิดทำร้านไอศกรีมมะม่วงและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ทำจากมะม่วงทั้งหมด ขายที่จตุจักรเหมือนกัน ใกล้กับร้านเสื้อ เพิ่งเปิดกิจการในช่วงเดือนธันวาคม 2012 ที่ผ่านมา เหลืออีกไม่นานก็จะครบ 1 ปีแล้ว
คุณกุ๊กบอกว่า ลูกทัวร์จีนที่มาเที่ยวจตุจักรจะโปรดปรานไอศกรีมมะม่วงมากเป็นพิเศษ ในอนาคตคาดหวังไว้ว่าจะหาพื้นที่เพื่อให้สามารถเปิดขายได้ทุกวัน พื้นที่ที่เล็ง ๆ อยู่บ้าง เช่น โซนสีลม ซึ่งมีชาวต่างประเทศอยู่มาก น่าจะไปได้ดี
ทำงาน 7 วัน / สัปดาห์พอดี หลังทำโรงเพาะเห็ด
หลังจากธุรกิจเริ่มอยู่ตัวแล้ว คุณกุ๊กจึงตัดสินใจลาออกจากธนาคารธนชาตที่ทำมานานกว่า 20 ปี แต่ยังรับทำพิเศษอยู่ในหน้าที่เดิม ซึ่งดูแลในส่วนของแผนกโฆษณา ทำหน้าที่เป็น Account Executive (AE) หรือเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ทำหน้าที่ประสานงานด้านมีเดีย เอเยนซี ดูแลโฆษณาผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลและด้านหลักทรัพย์
ในขณะนั้นคุณกุ๊กจึงเป็นสาวทำงานเกือบทุกวันใน 1 สัปดาห์ โดยจะอยู่ที่ร้านในสวนจตุจักรช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ ส่วนวันจันทร์-อังคาร-พุธ-ศุกร์ ไปทำพิเศษที่ธนาคารธนชาติ
ยังเหลือวันพฤหัสบดีที่ว่างอยู่ 1 วัน แต่เวลานี้ไม่ว่างเสียแล้ว เพราะในเวลาต่อมาเพื่อนรุ่นน้องคือ คุณจุ๊บหรือคุณนัยนา ยังเกิด ซึ่งทำงานอยู่ด้วยกันที่ธนาคารธนชาติชวนมาร่วมลงทุนทำ "โรงเรือนเพาะเห็ด" จึงทำให้เวลานี้ได้ทำงานครบ 7 วันต่อสัปดาห์พอดี
คุณกุ๊กเล่าถึงการตัดสินใจมาลงทุนโรงเรือนเพาะเห็ดว่า "มองว่า เห็ดเป็นสินค้าเกษตร ที่น่าจะอยู่ได้เพราะปัจจุบันมีการบริโภคกันมากตามกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ น่าจะไปได้ดี ในขณะที่คุณจุ๊บก็เป็นคนน่ารักและมีความชอบ ความรักที่จะทำด้านเห็ดมานานแล้วเพราะมีญาติ ๆ บอกว่า เป็นธุรกิจที่ดี และมีความตั้งใจจริงที่จะทำ โดยไปอบรมการเพาะเห็ดที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และคุณกุ๊กได้เรียนรู้ต่ออีกทีหนี่ง
นอกจากนี้ประจวบเหมาะกับเพื่อนของจุ๊บที่จะทำด้วยในตอนแรกได้ถอนตัวไป คุณกุ๊กจึงมาทำแทนได้เลย โดยร่วมกันลงขันประมาณเกือบหลักล้านบาท เพื่อสร้างโรงเรือนเพาะเห็ดบนที่ดินเช่าของญาติคุณจุ๊บ"
เวลานี้ธุรกิจโรงเรือนเพาะเห็ด ก็กำลังไปได้สวย มีผลผลิตวันละประมาณ 50-100 กิโลกรัมต่อวัน มีทั้งผู้มารับซื้อถึงที่และไปส่งเองบ้างบางส่วน เธอเล่าถึงอนาคตให้ฟังอีกว่า อนาคตอาจจะแปรรูปเห็ดเป็นสินค้าแปรรูป เป็นอาหารว่าง โดยมองไกลถึงส่งออกเลยทีเดียว
คุณกุ๊กเล่าว่า มาทำตรงนี้นอกจากได้เงินแล้ว เธอยังมีความสุขทางใจด้วย ทำแล้วเหมือนได้พักผ่อน เพราะโรงเรือนเพาะเห็ดไม่ได้มุ่งทำธุรกิจอย่างเดียว แต่ยังเน้นเผยแพร่ให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจทั่วไปเพื่อไปประกอบอาชีพได้ด้วย
"สำหรับกุ๊กแล้ว เรื่องการเกษตรเป็นอะไรที่ไกลตัวมาก แต่พอมาทำแล้วมีความสุขและหลังจากมาทำโรงเรือนเห็ดแล้ว เกิดความรู้สึกอยากเก็บสะสมรูปภาพเก่า ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ ในยามที่พระองค์เสด็จเยี่ยมประชาชน ทำการเกษตรท่านยังทำได้ เหมือนเป็นแรงบันดาลใจ และกำลังใจว่า เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน"
พบรักชายต่างขั้วชวนฟังลูกทุ่ง
เมื่อเป็นสาวสวยและเก่ง เป็นสาวอารมณ์ดีขนาดนี้
ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีชายหนุ่มมาหมายปอง
แต่ใครที่คิดจะเข้ามายามนี้ คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะปัจจุบันคุณกุ๊กหัวใจไม่ว่างเสียแล้ว และดูเหมือนจะเป็นคู่ที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่สามารถกลายเป็น"ความต่างที่ลงตัว" ได้
คุณกุ๊กเล่าว่า "รู้จักกับแฟน คือ "คุณทอม" (เธอเปิดเผยชื่อสั้นๆแล้วหัวเราะ....) เนื่องจากหลานของเขาทำงานอยู่ที่เดียวกันและแนะนำให้รู้จักกัน พบกันครั้งแรกดูเหมือนนักร้องเพราะเขาไว้ผมยาว แต่ก็ตรงกับสเปคของคุณกุ๊กพอดี ซึ่งชอบผู้ชายไว้ผมยาว ดูเซอร์ ๆ นิด ๆ แต่ดูสะอาด
นอกจากนี้เขายังชอบเพลงลูกทุ่ง ฟังแผ่นเสียงเพลงเก่า ๆ ชอบของเก่า ที่แตกต่างกับฝ่ายคุณกุ๊กซึ่งออกสไตล์คนเมืองและแทบไม่เคยฟังเพลงลูกทุ่งหรือเพลงเก่า ๆ เลย...หัวเราะ... การแต่งกายก็คนละแบบ นอกจากนี้ต้องเป็นคนรักครอบครัว ทั้งของตัวเองและครอบครัวของเราด้วย.."
อย่างไรก็ตามคุณกุ๊กเล่าว่า แม้จะมีสไตล์ต่างกัน แต่เมื่อได้ฟังเพลงและสัมผัสคลุกคลีกับสิ่งนี้เรื่อย ๆ สุดท้ายก็สามารถยอมรับและซึมซับเพลงลูกทุ่งหรือเพลงเก่า ๆ ได้ ฟังแล้วรู้สึกถึงความสบาย ความไพเราะของดนตรีและเนื้อเพลง หรือแม้แต่ยังหันมาโปรดปรานของเก่าตามแฟนได้อีก เช่น แผ่นเสียงเก่าๆ หรือเครื่องไม้เก่า เป็นต้น
ปัจจุบันคุณทอมยังเป็นกำลังใจและให้การสนับสนุนการทำงานทุกอย่างของเธอ เป็นทั้งดีไซน์เนอร์ออกแบบเสื้อผ้าให้เธอ เป็นบอร์ดี้การ์ด และ ยังช่วยส่งเห็ดให้ด้วย ซึ่งทำด้วยความเต็มใจ
หากจะบอกว่า "ชีวิตเหมือนแต่งกับงาน" ก็คงไม่ผิด
คุณกุ๊กบอกว่า เธอโชคดีที่พบแต่คนรอบข้างที่ดี ที่สนับสนุนด้วย จึงช่วยให้ชีวิต การงานและความรักไปด้วยกันได้อย่างมีความสุข
แต่ใช่ว่าจะทำแต่งานอย่างเดียว เธอยังรู้จักใช้เวลาพักผ่อนได้ง่าย ๆ กับการดูทีวี ฟังเพลงที่บ้าน และมองหาเวลาเพื่อไปพักผ่อนตามต่างจังหวัดบ้าง ซึ่งชอบไปทะเล จริง ๆ อยากไปมัลดีฟซึ่งเป็นความไฝ่ฝันของแฟนที่อยากจะไปเที่ยวมัลดีฟสักครั้งหนึ่ง
"นอกจากนี้อยากจะไปญี่ปุ่นด้วยอยากไปเพราะเป็นอะไรที่น่าสนใจ เมืองและคนญี่ปุ่นเป็นคนน่ารัก นิสัยและอาหารการกินก็ใกล้เคียงกับคนไทย มีลูกค้าที่ร้านเป็นคนญี่ปุ่นน่ารักมาก เวลาเขากลับมาเมืองไทยเขาจะซื้อของมาฝาก ซื้อเบียร์ญี่ปุ่นมาให้ แม้ไม่ได้ค้าขายกันก็คบกันได้เหมือนเพื่อนกัน น่ารักและเรียบร้อย
เคยไปยุโรปเมืองเขาสวย แต่คนอาจดูน่ากลัวหน่อย ไม่เหมือนคนเอเชียด้วยกัน"
ชีวิตข้างหน้าดูแลครอบครัว-ทำบุญ
ชีวิตของคุณกุ๊กยามนี้คงต้องบอกว่า เพียบพร้อมและประสบความสำเร็จ สามารถทำธุรกิจหลายอย่างได้ดีอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะทำได้
แต่คุณกุ๊กยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายและแสนจะธรรมดามาก ทั้งเรื่องการอยู่ง่าย กินง่าย แต่งตัวเรียบง่าย นั่งรถเมล์ไปโรงเพาะเห็ด ไปซื้อของในตลาดเพื่อจับจ่ายซื้อของ หรือกล้าที่จะพูดคุยกับแม่ค้าทั่วไป เช่นเวลาที่เธอไปติดต่อแม่ค้าขายเห็ด ก็กล้าที่จะเข้าไปพูดคุยด้วยตนเอง
"คำกล่าวที่ว่า อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อยนั้น เป็นเรื่องจริง...."
เป้าหมายในอนาคตนับจากนี้ เธอกล่าวว่า จะดูแลครอบครัวและคนรอบข้างให้ดี โดยเฉพาะคุณแม่ให้มีความสุข โดยถือว่า การทำความดีกับบุพการี เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แม้จะไม่มีเวลาไปวัดก็ตาม
พร้อมเปรยว่า "ถ้าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ ท่านคงจะดีใจและมีความสุขมาก ที่เห็นว่าเรามีธุรกิจเป็นของตัวเอง สามารถเลี้ยงครอบครัวได้"
นอกเหนือจากนี้คุณกุ๊กยังเลี้ยงสุนัข อีกทั้งช่วยเหลือสัตว์และผู้ยากไร้บ้างตามโอกาส ผ่านทางทีวีหรือองค์การการกุศลอย่างยูนิเซฟ พร้อมใฝ่ฝัน ว่า อยากจะทำมูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ด้วย
เคยเจอสุนัขอยู่ใต้ท้องรถ โดนรถทับท้อง ตอนนั้นไม่มีโรงพยาบาลรักษา ต้องไปโรงพยาบาลแถวสุขุมวิทแห่งหนึ่ง หมดไปหลายหมื่นบาท เลยขอบริจาคที่หน้าร้านบ้าง ที่ออฟฟิศบ้าง รู้สึกว่าพอช่วยผู้อื่นแล้ว เหมือนทำให้มีสิ่งดี ๆ เข้ามาหาเรา เช่น มีออร์เดอร์เสื้อเข้ามา ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งคือ กำลังขับรถมาโรงเห็ดและเจอมอเตอร์ไซด์ล้ม มีแม่ค้าโดนเหล็กบาดที่เท้า จึงช่วยพาไปอนามัย
รู้สึกดีที่ได้ทำความดี และเชื่อว่า การทำดี คิดดีจะเป็นเกราะช่วยตัวเราได้
ชีวิตของคุณกุ๊ก น่าจะเป็นแบบอย่างการใช้ชีวิตที่ดี สำหรับคนทั่วไป ทั้งในด้านความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นสร้างหลักฐาน เพื่อครอบครัว
ทางเอซีนิวส์ขออวยพรให้คนเก่ง คนดีคนนี้ มีชีวิตที่ดีประสบความสำเร็จ ก้าวหน้าตลอดไป
ข่าวเด่น