พงศกร เกตุประภากร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เกตุเจริญศิลป์ จำกัด กับงานน่าทึ่ง “โปสการ์ด 3 มิติ” เชิดชูวรรณคดีสู่เวทีโลก
ปัจจุบันกล่าวได้ว่า สังคมไทยมีการตื่นตัว สนับสนุน ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ ก้าวสู่การเป็นเจ้าของกิจการเป็น “เถ้าแก่น้อย” หรือ “เถ้าแก่ใหม่” กันเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ได้เราได้เห็นธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ธุรกิจหนึ่งที่ค่อนข้างแปลกและได้รับความสนใจไม่น้อยในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอี ได้แก่ “Postcard Cube” เนื่องจากเป็นธุรกิจของหนุ่มน้อยหน้าใส 3 คนพี่น้องแห่งตระกูลเกตุประภากร ที่เพิ่งคว้ารางวัล SME Thailand Inno Awards 2013 โครงการประกวดผลงานธุรกิจที่ทางนิตยสาร SME Thailand ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยจัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3
“Postcard Cube “ งานสร้างจากเกตุเจริญศิลป์ จำกัด
“Postcard Cube” เป็นผลิตภัณฑ์ของ บริษัท เกตุเจริญศิลป์ จำกัด ที่บริหารงานโดย 3 หนุ่มพี่น้องแห่ง ตระกูลเกตุประภากร ได้แก่ ก๊อต พงศกร วัย 22 ปี เก็ต ธฤต วัย 20 ปี และ น้องคนเล็ก นัท ณัฐสรณ์ วัย18 ปี ที่สร้างสรรค์ผลงานไปรษณียบัตรหรือโปสการ์ดออกแบบพิเศษสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
โดยผลงานโปสการ์ดดังกล่าวนี้สามารถพับเป็นหุ่นกระดาษรูปทรง 3 มิติ ช่วยสร้างความสนุกสนาน ตลอดจนรอยยิ้มและความประทับใจให้แก่ผู้รับได้อย่างไม่รู้ลืม แถมยังแฝงด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรมและวรรณคดีไทย โปสการ์ดหุ่นกระดาษนี้จึงทำหน้าที่เสมือน “ทูตทางวัฒนธรรม” ไปในตัว
ทายาทธุรกิจโรงสีข้าว
เวลานี้ คุณก๊อต และ น้องชายอีก 2 คน เสมือนตัวจักรหลักทำหน้าที่ดูแลธุรกิจ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า เนื่องจากน้องอีก 2 คนไปศึกษาอยู่ต่างแดน แต่ในโลกแห่งเทคโนโลยีก้าวไกลเช่นในปัจจุบัน ทำให้หนทางไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจแต่อย่างใด โดยทั้ง 3 พี่น้องสามารถติดต่อสื่อสารเรื่องธุรกิจกันได้ตลอดเวลา ยามต้องการ
คุณก๊อตบอกเล่าให้ฟังถึงครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นของเขาว่า เขาเป็นคนกรุงเทพฯอาศัยในเขตบางบอน เป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจมายาวนาน คุณพ่อทำธุรกิจโรงสีข้าวส่งออก อยู่ที่ จ.อำนาจเจริญ
แม้จะยุ่งเรื่องธุรกิจ แต่คุณพ่อคุณแม่ดูแลลูก ๆ เป็นอย่างดี สนับสนุนทั้งในด้านการศึกษาและการทำกิจกรรมต่าง ๆเพื่อให้ได้ประสบการณ์ในชีวิต โดย คุณก๊อตกับน้องๆได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรักเป็นหลักตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
คุณก๊อตเคยเว้นช่วงไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาตอน ม.4
เนื่องจากสามารถสอบชิงทุนแลกเปลี่ยนไทย-อเมริกาของยมูลนิธิ AYUSA Global Youth Exchange (โครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยน ภาษา วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีต่อกันของมวลมนุษยชาติ และเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทย มีทางเลือกทางการศึกษา เสริมสร้างศักยภาพในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างดียิ่งขึ้น สามารถแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลกได้) คุณก๊อต จึงมีโอกาสไปอยู่สหรัฐ 1 ปี ก่อนกลับมาขอเทียบเรียนม.5 ต่อที่โรงเรียนเดิม
และเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คุณก๊อตเพิ่งสำเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตหมาด ๆ จากรั้วคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยผลการเรียนเป็นเลิศระดับ “เกียรตินิยมอันดับ 1”
ส่วนน้องชายคนที่ 2 ได้ทุนการศึกษาแลกเปลี่ยนที่แคนาดาตั้งแต่ชั้น ม.5 และกำลังศึกษามหาวิทยาลัย คณะออกแบบผลิตภัณฑ์ ชั้นปีที่ 3 เป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษด้านศิลปะ ชอบจินตนาการ ไม่ชอบด้านคำนวณ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
สำหรับน้องคนที่ 3 หลังจากไปศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายที่นิวซีแลนด์แล้ว ยังได้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อเข้าศึกษาต่อด้านการเงินที่ประเทศออสเตรเลีย ขณะนี้กำลังศึกษาชั้นปีที่ 3 เท่าพี่ชายคนที่ 2 เพราะสอบเทียบเลื่อนชั้นมาได้ เลยมาเรียนปีที่ 3 เท่ากัน การเลือกศึกษาด้านการเงินเนื่องจากน้องสุดท้องมีความชอบและความสามารถด้านคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ
นับว่าคุณพ่อ-คุณแม่โชคดีที่ 3 พี่น้องเรียนเก่งกันทุกคน สำหรับโดยบเฉพาะคุณก๊อต เก่งทั้งด้านการเรียนและกิจกรรมความสามารถรอบด้าน รวมถึงความถนัดด้านการพูด เคยผ่านเวทีโต้วาทีและพิธีกรมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เคยคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดโต้วาทีที่มหาวิทยาลัย อัสสัมชัญ หรือ เอแบค จัดขึ้นในขณะเขากำลังศึกษาอยู่ชั้นม.6.
นอกจากนี้เขายังเคยเป็นถึงรองอุปนายกสโมสร อินเตอร์แรคท์ โรงเรียนอัสสัมชัญ (Interact Assumption) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มเยาวชนได้ทำกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจและสันถวไมตรีระหว่างชนทั่วโลก
อีกทั้งยังเมื่อตอนอยู่มัทธยมต้นยังได้ทำงานด้านสังคมกับสโมสร Y’s Men ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “The International Association of Y’s Men’s Club” เป็นสโมสรนานาชาติซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยงานของมูลนิธิ YMCA ตลอดจนกิจกรรม อื่นๆเพื่อช่วยเหลือสังคม รวมทั้งการช่วยเหลือเด็กและผู้ด้อยโอกาสที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศที่ต้องได้รับการแก้ไข
ปัจจุบัน สโมสร Y’s Men มีสมาชิกกว่า 27,000 คน ใน 72 ประเทศทั่วโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับในประเทศไทยมีสโมสร Y’s Men สองแห่งคือที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่
ในขณะอยู่มหาวิทยาลัยปีที่ 2 ในวัยเพียง 19 ปี คุณก๊อตได้เป็นตัวแทนเยาวชนระดับภูมิภาคเอเชียของสโมสรดังกล่าว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของไทยและทำให้มีโอกาสได้เดินทางไปในหลายประเทศเพื่อประชุมการทำกิจกรรมต่าง ๆ
“ตัวอย่างโครงการที่ไปทำ เช่น โครงการดับร้อนที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการประยุกต์นำเทศกาลสงกรานต์ของไทยไปใช้ในโครงการที่ญี่ปุ่น และโครงการ Stop TB Project ที่เป็นการงดข้าวเย็นเพื่อสนับสนุนทุนช่วยเหลือชาวแอฟริกาผ่านองค์การสหประชาชาติ(UN) ซึ่งต่อไปจะขยายไปในประเทศอื่น ๆ ด้วย”
นับได้ว่า ประสบการณ์จากการทำกิจกรรมในวัยเรียนได้ช่วยเอื้อต่อการทำธุรกิจให้กับเขาได้มากทีเดียว ทั้งการบริหาร ได้ใช้ในการฝึกบริหารคนระดับเยาวชนหรือการเขียนโครงการ เป็นต้น ส่วนน้องทั้งสองได้เจริญรอยตามเขา โดยเป็นสมาชิกของ YMCA ด้วยเหมือนกัน
ไอเดียทำโปสการ์ดมาจากการมองหาของฝาก
จากการที่คุณก๊อตเป็นตัวแทนเยาวชน YMCA ทำให้มีโอกาสได้เดินทางไปประชุมกับชาวต่างชาติทั่วโลก ทำให้เขาต้องมองหาของฝากหรือของที่ระลึกจากเมืองไทยไปด้วยเพื่อแจกจ่ายให้กับเพื่อน ๆ ซึ่งต้องเป็นของที่ไม่หนักเกินไป จึงคิดถึงกระดาษพับ เพราะมีน้ำหนักเบา เป็นกระดาษแผ่นเดียวที่สามารถพับเป็นอะไรก็ได้ เพียงแต่มาใส่ลวดลายลงไป เติมเอกลักษณ์และใส่รายละเอียดลงไป แต่กว่าจะมาเป็นตัวละครเรื่องรามเกียรติ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เขาเล่าว่า “มีความคิดว่า อยากจะหาอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นถึงความเป็นไทย อยากโชว์วัฒนธรรมไทย อยากให้คนหันมาสนใจวรรณคดี ตัวละครหรือโขน หลังจากนั้นได้ไปเก็บข้อมูลที่วัดพระแก้วพบว่า จิตรกรรมฝาผนังโดยรอบพระอุโบสถบอกเล่าเรื่องรามเกียรติ์ จึงทำให้มั่นใจว่า ตัวละครทั้ง 4 ตัว ได้แก่ พระราม นางสีดา ทศกัณฑ์ และหนุมาน ที่เคยผ่านตานักท่องเที่ยวและเป็นที่คุ้นเคยมากที่สุด นอกจากนี้วรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์เองยังถือเป็นอุปรากรเอกของโลกและเป็นที่นิยมนำมาแสดงโขน
นอกจากจะมีคนรู้จักกันดีแล้ว ยังมองว่า มีความน่าสนใจตรงที่คุณพ่อคุณแม่สามารถซื้อโปสการ์ดไปฝากเด็ก ๆและบอกเล่าเรื่องราวของตัวละคร ได้ด้วย”
ได้รับโอกาศการสนับสนุนจาก ททท.
เมื่อได้คอนเซ็ปต์ที่จะทำแล้ว มาถึงขั้นตอนการออกแบบโปสการ์ด ทีม 3 พี่น้องพยายามออกแบบให้เป็นเสมือนทูตวัฒนธรรมสู่คนทั้งโลก โดยได้มีการศึกษาข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ของตัวละครแต่ละตัวเพิ่มเพื่อไม่ให้มี
ข้อผิดพลาด เช่น ตัวทศกัณฑ์ต้องมี 10 หน้า รายละเอียดด้านเครื่องประดับที่ต้องมี สร้อยสังวาล อาวุธ ตลอดจนท่าทางต่าง ๆ ที่จะต้องให้ตรงตามวรรณคดี
ต่อมาได้รวบรวมผลงานการออกแบบทั้งหมดไปนำเสนอกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านข้อมูลเพื่อช่วยให้เป็นผลงานที่ออกมาสมบูรณ์ที่สุด หลังจากนั้น 3 พี่น้องจึงร่วมลงทุนและเดินหน้าทำการผลิตโดยไม่รบกวนคุณพ่อคุณแม่ โดยแบ่งหน้าที่กันดูแล โดย คุณก๊อต ทำหน้าดูแลด้านการตลาด (Sales Marketing) คุณธฤต ทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์(Production)และ คุณณัฐสรณ์ ทำหน้าที่ดูแลด้านการเงิน เรียกว่า ได้ทำงานกันตามความถนัดและความสามารถของแต่ละคนจริง ๆ โดยเริ่มเปิดบริษัทได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น
สำหรับโปสการ์ดที่ผลิตออกมานั้นมีเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่น เพราะสามารถนำมาตัด พับ และประกอบเป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติได้สวยงาม ใช้ตั้งโชว์ได้
ผลิตภัณฑ์นี้ยังมีจุดเด่น คือ บันทึกความรู้สึกของผู้ส่งจะถูกเก็บไว้ภายในหุ่นกระดาษ เสมือนตัวแทนจากผู้ให้ ทำให้ระลึกถึงกันได้ตลอดเวลา นับว่าช่วยให้สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างแท้จริง
หลังผลิตผลงานมาระยะเวลาหนึ่ง ธุรกิจของเขาก็ได้รับเกียรติจากงานโขนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ไปเป็น 1 ในสินค้าพรีเมียมที่จัดจำหน่ายภายในงานและได้ผลตอบรับที่ดี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัท
ต่อมาทางพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้ติดต่อเพื่อร่วมกันออกแบบเป็นชุดไทยราชนิยมออกมาอีก ซึ่งมี 8 แบบ เป็นชุดที่ครั้งหนึ่งสมเด็จพระราชินีได้ให้ดีไซเนอร์ออกแบบเป็นชุดสำหรับผู้หญิงทั่วไป ใช้สวมใส่ในโอกาสที่เหมาะสม โดยให้ข้อมูลรายละเอียดที่ถูกต้อง ทำให้ได้ผลงานชุดผ้าไหมออกมาสวยงาม”
มีหน้าร้านวางขายมากกว่า 200 สาขา
โดยรวมแล้วในขณะนี้ บริษัท เกตุเจริญศิลป์ จำกัด ของคุณก๊อตและน้อง ๆ มีผลงานโปสเตอร์ผลิตขายอยู่ 2 คอเลคชั่นด้วยกัน คือ 1.ตัวละครรามเกียรติ 4 ตัว และ 2.ชุดไทยพระราชนิยม 8 ตัว โดยสนนราคาเพียงใบละ 129 บาทหรือตั้งเป็นสกุลดอลลาร์ที่ 4.49 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่า ไม่ถูกและแพงจนเกินไป นอกจากนี้ในการทำธุรกิจนี้ เขาและน้อง ๆ ไม่ได้ต้องการผลกำไรมากมาย เพียงแต่ต้องการนำเสนอความเป็นไทยมากกว่าและให้มีการเติบโตเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดูเหมือนว่า ธุรกิจ “Postcard Cube” นี้รุดหน้าไปเร็วเกินคาด โดย คุณก๊อต เล่าว่า ได้วางกลยุทธิ์
การตลาดสำหรับประเทศไทยไว้ประมาณ 70% ของที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีฐานลูกค้าหลักอยู่ที่ลูกค้า 3 กลุ่ม ได้แก่ นักศึกษาที่มีเพื่อนชาวต่างชาติและที่ไปเรียนในต่างประเทศ กลุ่มคนทำงานที่มีลูกค้ามาสัมมนาในเมืองไทย และกลุ่มชาวต่างชาติโดยตรงที่มาท่องเที่ยวเมืองไทยและกลุ่มที่อยากจะรู้จักประเทศไทย
ขณะนี้มีจุดวางขายแล้ว 200 สาขากระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งเป็นการขายขาดให้กับทางหน้าร้านต่าง ๆ ในลักษณะเซ็นต์สัญญาเฟรนไชส์ โดยบริษัทสนับสนุนสแตนด์ตั้งให้และสื่อต่าง ๆ ให้ “บริษัทมีสาขาที่เป็นไฮเอนด์เกือบหมดแล้ว เช่น ร้านหนังสือชั้นนำอย่างเอเชียบุ้ค ร้านนายอินทร์ ตามสนามบิน วัด โรงแรม ร้านขายของที่ระลึก ร้านสะดวกซื้อ โดยกระจายอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอาทิ เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพ ชลบุรี เกาะเสม็ด เกาะช้าง สมุย ภูเก็ตและกระบี่ และสนุกกับการทำงาน เพราะทำให้ได้เที่ยวไปด้วยในตัว ในไทยได้ไปเกือบทุกจังหวัดแล้ว”
ในไตรมาส 4 ของปี 2013 นี้ ทางบริษัทยังมีแผนเพิ่มตัวละครรามเกียรติมาอีก ได้แก่ ตัวกุมภกรรณ ซึ่งเป็นโอรสของท้าวลัสเตียนและนางรัชฎา มีศักดิ์เป็นน้องแท้ ๆ ของทศกัณฐ์ มีหน้าและกายสีเขียว ชายาชื่อนางจันทวดี ถือเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มากที่สุดตนหนึ่งและพระลักษณ์ ซึ่งเป็นน้องชายของพระราม เป็นองค์อนันตนาคราชกลับชาติมาเกิดเพื่อช่วยเหลือพระรามในการสังหารอสูร มีร่างกายสีทอง เนื่องจากองค์อนันตนาคราชแต่เดิมนั้นก็มีเกล็ดเป็นทองคำทั้งร่างเมื่อกลับชาติมาเกิดเป็นพระลักษณ์ก็มีการทองตามไปด้วย
นอกจากนี้ยังจะมีคอลเลคชั่นป่าหิมพานต์เพิ่มมาอีกด้วย ซึ่งจะนำตัวละครจากป่าหิมพานต์มาผลิตโปสการ์ดเพิ่ม อนาคตอาจจะเป็นพวกเครื่องดนตรีไทยและอื่น ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย
ฝันไกลเข้าตลาดหลักทรัพย์
นอกจากการขายผ่านหน้าร้านแล้ว Postcard Cube ยังมีการขายผ่านโซเชียล มีเดียด้วย นั่นคือ บนเวบไซต์เฟสบุ๊ค facebook.com/postcard cube ในอินสตาแกรมและได้เผยแพร่ผ่านทางสื่อต่าง ๆ ที่มาสัมภาษณ์ นอกจากนี้บางครั้ง คุณก๊อต ยังมีโอกาสได้รับเชิญไปบรรยายตามสถานศึกษาต่าง ๆ เพื่อจุดประกายการทำธุรกิจให้กับน้องนักศึกษา
ส่วนในตลาดต่างประเทศนั้น Postcard Cube ก็ไม่ได้ด้อยกว่าธุรกิจ SME รายอื่น ๆ เลย เมื่อคิดจากระยะเวลาเพียง 1 ปี ของการดำเนินธุรกิจ โดยเวลานี้มีการติดต่อเพื่อนำ Postcard Cube ไปขายในหลายประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซียและสหรัฐ
จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทเกตุเจริญศิลป์จะมียอดขายเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำรายได้เป็นตัวเลขถึง 7 หลัก เมื่อเทียบกับการเริ่มธุรกิจมาเพียง 1 ปีเท่านั้น
แต่ทีม 3 พี่น้องยังไม่คิดที่จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ โดย คุณก๊อต เปิดเผยถึงเป้าหมายในอนาคตว่า
“คาดว่า ปีหน้า (2557) คาดหวังจะมีรายได้เป็นตัวเลข 10 ล้านบาท และตั้งเป้าไว้ว่า ภายใน 5 ปีเราจะมีรายได้ขึ้นไปถึง 100 ล้านบาท จากนั้นภายใน 7 ปีหลังจากเปิดตลาดอาเซียน ตั้งใจว่าจะให้ถึง 400 ล้าน และเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่า อาจทำได้ภายในปี 2560”
คุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจและแบบอย่างการบริหาร
ถือเป็นหนุ่มไฟแรง ที่น่าจะเป็นแบบอย่างแก่น้อง ๆ เยาวชนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
เห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานตั้งแต่วัยเด็ก จึงยึดแบบอย่างการบริหารงานของคุณพ่อที่ดูแลลูกน้องในโรงสีเป็น โดยนำมาผสมผสานกับการสั่งสอนของคุณแม่ในวัยเยาว์
คุณก๊อตเล่าเพิ่มเติมว่า “ คุณพ่อดูแลพนักงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ละคนอยู่กันมานานมาก นานถึง 40 ปีก็มี ลูก ๆ ของพนักงานเป็นเพื่อนเล่นมาด้วยกัน นอกจากนี้การที่คุณแม่ปลูกฝังให้รู้จักการแบ่งปันและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้การทำงานมีความยืดหยุ่น เพราะมีพี่น้องอาจมีความเห็นไม่ตรงกันบ้างในการวางแผน ต้นทุนสินค้า วัสดุที่ใช้ แต่สามารถตกลงกันได้อย่างราบรื่น
ในตอนแรกคุณพ่อคุณแม่ไม่เห็นด้วยที่จะทำธุรกิจในขณะเรียน เพราะอยากให้ตั้งใจเรียนให้เต็มที่มากกว่า แต่สุดท้ายท่านได้ยอมรับแล้วว่า เราทำได้” ปัจจุบันบริษัทเกตุเจริญศิลป์ ที่ตั้งอยู่แถวถนนสีลม มีพนักงานอยู่ประมาณ 10 คน แต่ถือเป็นบริษัทเล็ก ๆที่มีความเข้มแข็งทีเดียว
กวาดรางวัลมาเพียบ-ฝากบอกทุกคนทำได้
โดยภาพรวมจะเห็นได้ว่า การทำ “Postcard Cube” เป็นธุรกิจที่มีไอเดียดี มีผลงานน่ารัก มีคุณค่าออกมาแบบไม่เหมือนใคร จึงไม่น่าแปลกใจที่สามารถคว้ารางวัลมาได้มากมาย อาทิ
- รางวัล Best of Innovation นวัตกรรมดีเด่นของคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2013
-รางวัลโครงการ I2P Contest 2013 (Innovation to Product Contest) นวัตกรรมความคิดสู่ผลิตภัณฑ์ ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับสำนักบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้น เพื่อคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมหรือภูมิปัญญาไทยที่มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์
-และล่าสุดยังได้รับรางวัล SME Thailand in Award สาขาพาณิชย์ศิลป์ หรือศิลปะเพื่อการพาณิชย์
เป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม คุณก๊อต ได้ฝากถึงเพื่อน ๆ น้อง ๆ เยาวชนที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจว่า ทุกคนมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน หากมีองค์ประกอบ 3 อย่าง โดยให้มองการทำธุรกิจเหมือนรูปภาพผลงานศิลปะ ซึ่งต้องมีสิ่งสำคัญดังนี้คือ
1. ต้องมี “ผลิตภัณฑ์” ที่เป็นเสมือนรถยนต์ที่จะสามารถขับเคลื่อนไปถึงเป้าหมายได้
2. ต้องมี “แผนธุรกิจ” ที่เป็นเสมือนถนนที่จะนำเราไปถึงเป้าหมาย
3.ตัวเราที่เป็นคนขับ สำคัญมากที่จะต้องมี “ความมุ่งมั่น” เพื่อไปถึงเป้าหมายให้ได้
ถ้าทุกคนมีองค์ประกอบ 3 อย่างนี้จะสามารถประกอบธุรกิจได้
การประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ได้ทำให้เขามีโอกาสตอบแทนบุญคุณของบุพการีด้วยรายได้ที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
“ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เราตั้งใจทำ นอกจากจะช่วยตอบแทนคุณแผ่นดินแล้ว เราอยากจะตอบแทนคุณพ่อแม่ด้วย ไม่อยากรอให้ท่านแก่ก่อนแล้วเราค่อยมาเลี้ยงดูท่าน ท่านอยากไปไหนมาไหนก็พาท่านไปได้” ถือเป็นตัวอย่างลูกที่ดี กตัญญูต่อแผ่นดินและบุพการี
คุณก๊อต ได้ส่งความปรารถนาดีถึงผู้ที่ฝันอยากเป็นเถ้าแก่ ว่า “โอกาสจะเข้ามาหาเราเรื่อย ๆ แต่จะมีเฉพาะคนที่เตรียมพร้อมเท่านั้นที่จะสามารถคว้าโอกาสนั้นได้”
สำหรับผมชอบคำกล่าวของ บิล เกตส์ นักธุรกิจชาวอเมริกัน หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ชื่อดังระดับโลก ที่บอกว่า “ผมตั้งใจจะทำให้ไมโครซอฟต์อยู่บนโต๊ะทำงานของทุกคนในโลก”
แต่สำหรับคุณก๊อตนั้น เขาอยากให้วัฒนธรรมไทย สิ่งที่เขาปลุกปั้นขึ้นมาวางอยู่ในทุกบ้าน ที่มีอยู่บนโลกใบนี้”
คุณก๊อตเพิ่งเข้าพิธีวิวาห์กับ คุณมนรดา เอกวานิช ไปเมื่อเร็ว ๆนี้ ซึ่งฝ่ายเจ้าสาวเป็นเพื่อนร่วมคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกันและคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยชั้นปีที่ 1
เขาเล่าถึงหวานใจว่า เป็นลูกครึ่งชาวไต้หวันที่ครอบครัวมีธุรกิจทำเหมืองแร่ ร้านอาหารและโรงแรมอยู่ที่นั่น แต่มาศึกษาในกรุงเทพฯ ได้เข้าพิธีหมั้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา การที่ตัดสินใจแต่งงานเลย แม้อายุยังน้อย เพราะคิดว่า เราพร้อมที่จะดูแลเขาได้แล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นวันนี้ หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า คนที่ผมจะแต่งด้วยก็คือ คน ๆ เดียวกันอยู่ดี จึงแต่งงานกันไปเลยดีกว่า แล้วเรื่องของอนาคตเป็นสิ่งที่เราค่อยไปวางแผนด้วยกันต่อไป”
เชื่อว่าเรื่องราวความสำเร็จของ คุณพงศกร เกตุประภากร น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ให้ผลักดันตัวเองเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จต่อไป
ข่าวเด่น