สกู๊ป....โคลสโตนหนีตลาดไอศกรีมพรีเมียมซบพลิกแผนเจาะลูกค้าแมส


 


ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมตลาดไอศกรีมอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวตามไปด้วย  ซึ่งตลาดที่มีอัตราการเติบโตลดลงมากที่สุด คือ ตลาดไอศกรีมพรีเมียม  เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ภาพรวมตลาดไอศกรีมระดับพรีเมียมที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6,800  ล้านบาท  มีอัตราการเติบโตเพียง 9% เท่านั้น ลดลงจากปกติที่จะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 20% ซึ่งจากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจไอศกรีมระดับพรีเมียมต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 

บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี  ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ทำธุรกิจไอศกรีมระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์โคล สโตน ครีมเมอรี่ ที่ต้องออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน  ซึ่งปีที่ผ่านมาร้านไอศกรีม โคลสโตนฯ ก็ได้มีการลดขนาดของไอศกรีมให้มีขนาดเล็กลง  เพื่อให้ขยายไอศกรีมในราคาที่ถูกลงได้ 
 

หลังจากปรับแผนการทำตลาดดังกล่าว ส่งผลให้ร้านไอศกรีมโคลสโตนฯ มีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-25 ปี  ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก  เนื่องจากราคาไอศกรีมซื้อได้ง่ายขึ้นจากเดิมขายในระดับราคาชิ้นละกว่า 100 บาท  ก็ปรับราคาลดลงเหลือชิ้นละ 55-65 บาท  ซึ่งจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้ปีนี้ร้านไอศกรีมโคลสโตนฯ จะยังคงยึดกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้าระดับกลางที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปีให้กว้างมากขึ้น

 นางวชิราภรณ์ วานิชชัย ผู้อำนวยการอาวุโส แบรนด์ โคล สโตน ครีมเมอรี่   บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด  กล่าวว่า  หากนำภาพรวมอัตราการเติบโตของตลาดไอศกรีมมาเปรียบเทียบกับ โคล สโตนฯ  ถือว่า โคล สโตนมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น  พร้อมกันนี้ ยังมีการนำเสนอไอศกรีมขนาดพิเศษในราคาที่เหมาะสมกับช่วงเศรษฐกิจภายในประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการพัฒนาสินค้าตามฤดูกาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น  จึงทำให้ภาพรวมของ โคล สโตนฯ  ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตมากกว่า  40%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 
 

ปัจจัยที่ทำให้ร้านไอศกรีมโคล สโตนฯ มีอัตราการเติบโตที่ดี นอกจากจะมีการพัฒนาสินค้าใหม่ และปรับราคาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแล้ว  อีกส่วนหนึ่งยังมาจากการที่ภาครัฐกระตุ้นกระแสการจับจ่ายในช่วงต้นปีที่ผ่านมาผ่านมาตรการต่างๆ  ซึ่งจากแนวดน้มที่ดีดังกล่าว  จึงทำให้ร้านไอศกรีมโคลสโตนฯ  มั่นใจว่าในปี  2559 นี้   จะมียอดายสามารถเติบโตได้มากกว่า 40% อย่างแน่นอน  และหากภาพรวมเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่ดี  ร้านไอศกรีมโคล สโตนฯ ก็คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะยอดขายไม่ต่ำกว่า  500 ล้านบาท  พร้อมตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็น Top of mind ของไอศกรีมระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม ซึ่งปัจจุบันเราเป็นที่ 1 สำหรับกลุ่มตลาดไอศกรีมมิกซ์-อิน ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยมอยู่แล้ว

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดในปี 2559  นี้  ร้านไอศกรีมโคล สโตนฯ  มีแผนที่จะใช้งบประมาณด้านการตลาดมากกว่า 15 % จากยอดขาย  เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีทั้งในรูปแบบ  Above the line และ Below the line  พร้อมกันนี้  ยังจะเน้นการทำการตลาดในรูปแบบ  online  มากขึ้นคิดเป็นอัตราส่วน  85%  ที่เหลืออีกประมาณ  15%  เป็นการทำการตลาดในรูปแบบ offline  โดยในส่วนของการตลาดออนไลน์   จะเน้นการทำกิจกรรมผ่านสื่อโซเชียลมีเดียหลากหลายช่องทาง   เช่น  เฟซบุ๊ก (Facebook), อินสตาแกรม (Instagram), และยูทูบ (YouTube) 

นอกจากนี้  ยังมีแผนที่จะจัดแคมเปญโปรโมชั่นราคาพิเศษ และจัดกิจกรรมการตลาดต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมออนไลน์  รวมไปถึงการออกบูธตาม Event ต่างๆ ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีขนาด และราคาเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคคนไทย  ซึ่งเป็นการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนๆ จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันลูกค้าสามารถทานไอศกรีมที่มีคุณภาพได้ในราคาเพียง 55 - 65 บาท เท่านั้น ซึ่งราคานี้ไม่สามารถหารับประทานได้ในระดับคุณภาพพรีเมี่ยมจากแบรนด์อื่นๆได้ รวมทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่  ซึ่งร้านไอศกรีมโคล สโตนฯ จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ทุกๆ 2 เดือน  พร้อมกับปรับราคาสินค้า

นางวชิราภรณ์  กล่าวต่อว่า  กิจกรรมที่บริษัทจะเน้นเป็นพิเศษในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คือ  การโปรโมทไอศกรีมโคนในราคาเริ่มต้นที่  89 บาทควบคู่ไปกับการทำการตลาดในรูปแบบ  Delivery and Catering ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จากหน่วยงานเอกชน และบุคคลทั่วไป และในส่วนของช่วงปลายไตรมาสที่ 2 บริษัทจะมีการเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่ของแบรนด์อีกถึง 8 ตัว  เพื่อเพิ่มความหลากหลายในไลน์สินค้า  ซึ่งจะทำให้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่สามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น 
 

ทั้งนี้  ล่าสุดร้านไอศกรีมโคล สโตนฯ ได้มีการเปิดตัวไอศกรีมโคล สโตน ซันเดย์ ราคา 79 บาท เข้ามาทำตลาด ควบคู่ไปกับการจัดแคมเปญ Cold Stone Free Ice Cream Day  ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีที่ 2 ของกิจกรรมดังกล่าว  โดยจุดเด่นของการจัดกิจกรรมในปีนี้ คือ  การเพิ่มความพิเศษด้วยการขยายช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมเป็นระยะเวลา 2 เดือน คือ เริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย. – ก.ค.  โดยใน วันที่ 10 มิ.ย. 2559 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ทางแบรนด์ โคล สโตนฯประเทศไทยจะจัด Event ใหญ่ ให้ลูกค้าได้อร่อยกับไอศกรีมมิกซ์-อิน ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม ฟรี!  พร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศ (ยกเว้นสาขาสนามบินสุวรรณภูมิ) โดยเลือกระหว่างรสช็อกโกแลตดีโวชั่น หรือ อาวเออร์ สตรอว์เบอร์รี บลอนด์ ซึ่งในปีนี้ได้เพิ่มจำนวนการแจกเป็น 355 โคนต่อสาขา เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่สนับสนุนแบรนด์ด้วยดีมาตลอดระยะเวลา 6 ปี 

ขณะเดียวกัน  ก็จะมีการแจกไอศกรีมในวันดังกล่าวแล้ว ควบคู่ไปกับการจัดโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษ ทุกสินค้า ถึง 20% ตลอดเดือนมิ.ย. – ก.ค. และล่าสุดเราได้เพิ่มช่องทางการโปรโมท Cold Stone Free Ice Cream Day ปีที่ 2 นี้ ในรูปแบบกิจกรรมออนไลน์ ด้วยเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นเพื่องาน Cold Stone Free Ice cream Day ในปีนี้โดยเฉพาะ มีชื่อเพลงว่า “วันว่าง (Free Day)”  ซึ่งได้ศิลปินเน็ตไอดอลชื่อดัง “Kanomroo” มาช่วยสร้างสีสัน ฝากเสียงร้องใสๆ ในเพลงนี้  ซึ่งนอกจากเพลงดังกล่าวแล้วลูกค้ายังสามารถมาร่วมสนุกกับกิจกรรมเพื่อลุ้นรับของรางวัลทาง Facebook  ColdStone Thailand ได้อีกด้วย  โดยหลังจากจัดกิจกรรมดังกล่าว คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติไม่ต่ำกว่า 50%

ส่วนแผนการขยายสาขาร้านไอศกรีมโคล สโตนฯ  ในปีนี้  บริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอีกประมาณ  6  สาขา ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 19 สาขา โดยแบ่งเป็นในกรุงเทพ 17 สาขา และต่างจังหวัด 2 สาขา  ซึ่งจำนวนสาขาใหม่ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ขยายสาขาไปเพียง  3 สาขาเท่านั้น  โดยในส่วนทำเลสาขาใหม่ที่จะเปิดให้บริการจะเน้นไปที่พื้นที่ที่มีศักยภาพ  และตรงกลุ่มเป้าหมาย  

นางวชิราภรณ์ กล่าวอีกว่า ตลาดไอศกรีมมีการแข่งขันค่อนข้างสูง  เพราะนอกจากจะมีตลาดไอศกรีมกลุ่มแมส, พรีเมี่ยม, ซูเปอร์พรีเมี่ยมแล้ว ปัจจุบันยังมีแบรนด์ในกลุ่มเบเกอรี่ ที่มีการนำไอศกรีมไปเป็นส่วนประกอบของเมนูต่างๆ ก็ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกสำหรับของหวานมากขึ้น แต่ในส่วนของแบรนด์โคล สโตนฯ ก็พยายามเน้นพัฒนารสชาติของไอศกรีม และกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ที่เข้ากับแบรนด์ และลูกค้า  เพื่อให้ลูกค้าไม่เกิดความรู้สึกเบื่อ และรู้สึกอินเทรนด์ตลอดเวลาที่ได้เข้ามาใช้บริการ

ดูจากกิจกรรมที่ร้านไอศกรีมโคล สโตนฯ ทยอยจัดขึ้นตลอดทั้งปี 2559 เป้าหมายที่วางไว้ว่าต้องการมียอดขายเติบโคไม่ต่ำกว่า 40%  สิ้นปีนี้ก็ไม่น่าจะทำได้ยาก  หากไม่มีปัจจัยลบที่เลวร้ายมากระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มเติม  เพราะเท่าที่ดีจากสถานการณ์ตอนนี้ภาพรวมเศรษฐกิจก็เริ่มมีสัญญาณบวกให้ได้ใจชื้นกันบ้างแล้ว.
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 พ.ค. 2559 เวลา : 13:17:59
กลับหน้าข่าวเด่น
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 12:36 am