Ethereum หรือ ETH สกุลเหรียญคริปโตที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากพี่ใหญ่อย่าง Bitcoin ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของ Decentralized หรือการกระจายอำนาจ และความปลอดภัยสูง กำลังเข้าสู่ “The Merge” หรือการเปลี่ยนระบบฉันทามติจาก Proof of Work ของ Ethereum ไปเป็นระบบแบบ Proof of Stake เพื่อพัฒนาไปสู่ Ethereum 2.0 ที่เพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม ซึ่งเป็นข้อด้อยในปัจจุบัน และช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง
ปกติแล้ว Ethereum มีการตรวจสอบธุรกรรมและยืนยันธุรกรรมภายใน Chain หรือภายในเครือข่ายด้วยระบบแบบ Proof of Work หรือที่เรียกว่าการขุด โดยผู้ขุดจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลแก้สมการและสร้างบล็อก ซึ่งต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าสำหรับการขุดอย่างมหาศาล ยิ่งมีผู้ขุดมาก พลังงานที่ใช้สำหรับการขุดก็มากขึ้นไปด้วย (เพราะแข่งขันกันตรวจสอบธุรกรรมโดยที่เราจะได้ผลตอบแทนเป็นเหรียญ ETH กลับมา) การเกิดแนวคิดของ The Merge ที่นักพัฒนา Ethereum ได้ริเริ่มขึ้นมาในปี 2563 ก็เพื่อตั้งใจจะเปลี่ยนระบบฉันทามติไปเป็นแบบ Proof of Stake หรือการวางเหรียญค้ำประกันแทน โดยในปีที่เริ่มแนวคิดนี้ ทาง Ethereum ได้สร้าง Chain ใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า Beacon Chain ใช้ระบบแบบ Proof of Stake โดยเปิดให้ผู้ที่มีเหรียญ ETH เข้ามาวางเหรียญค้ำประกันไว้ ซึ่ง Chain นี้เป็นการแยกกันทำงานแบบคู่ขนานไปกับ Chain หลักของ Ethereum ที่ใช้ระบบ Proof of Work อยู่ การใช้งานของระบบแบบ Stake นี้เป็นไปเพื่อตรวจสอบธุรกรรม และเป็นการทดลองปรับปรุงระบบดังกล่าวมาเรื่อยๆ จนถึงเดือนกันยายนนี้ Ethereum ก็พร้อมจะทำการผสาน Ethereum Chain หลัก เข้ากับ Beacon Chain กลายเป็นระบบ Proof of Stake อย่างเต็มตัว หรือที่เรียกว่าเป็นการ อัพเกรด The Merge ตามชื่อนั่นเอง
การเข้าสู่ The Merge นั้น เรียกได้ว่ามีความสำคัญอย่างมาก และเป็นที่น่าจับตามองในแวดวงของโลกคริปโต เพราะเดิมทีเหรียญที่มีมูลค่าตลาดอันดับ 2 ของโลก ใช้การตรวจสอบธุรกรรมภายใน Chain ด้วยการขุด ซึ่งผู้ที่จะ Provide ตัวเองเป็นผู้ขุดต้องมีต้นทุนเป็นค่าใช้จ่ายอย่างพลังงานไฟฟ้า การประกอบเครื่องขุด และค่าซ่อมบำรุง Maintenance ต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับ Bitcoin ที่ใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof of Work เช่นกัน การมาของ The Merge ที่จะผสาน Chain Ethereum ให้เป็นหนึ่งเดียวและเปลี่ยนเป็น Proof of Stake ที่ใช้การ Staking แทน จะทำให้คนที่จะมาเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรมไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ขุด เป็นการลดพลังงานไฟฟ้าที่แต่ก่อนต้องอาศัยแรงไฟอันมหาศาล (ที่แข่งขันกันขุดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมา) ได้ถึง 99% และเนื่องจากไม่มีต้นทุนด้านการขุดเข้ามา แนวโน้มของการเทขายก็จะมีโอกาสที่ลดลงอย่างมาก (เพราะการขุดเพื่อให้ได้เหรียญ ETH มา จำเป็นที่จะต้องขายเหรียญออกมาบางส่วนเพื่อชดเชยต้นทุนการขุด ซึ่งปัจจุบันแรงขายหลักๆ เกิดจากส่วนนี้) อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของ Ethereum ก็จะลดต่ำลงไปอย่างมากอีกด้วย เพราะ Chain หลังการ The Merge จะแจกจ่ายหรือให้รางวัลกับผู้ตรวจสอบธุรกรรม (ที่เอาเหรียญมา Staking) ในจำนวนที่ลดลงกว่าแต่ก่อน กล่าวคือ จากที่ Ethereum มอบเหรียญให้กับผู้ขุดอยู่ที่ 13,000 ETH/วัน คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อประมาณ 4.1% การมาของ The Merge Ethereum จะมีการมอบเหรียญลดลงเหลือประมาณ 1,600 ETH/วัน คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อประมาณ 0.5% ฉะนั้นเมื่ออุปทานลดลง ก็มีแนวโน้มที่เหรียญ ETH หลังจากนี้จะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น และมูลค่าก็อาจสูงขึ้นอย่างมากตามไปด้วย
ในตอนนี้นักพัฒนา Ethereum กำลังทำการอัพเกรดขั้นสุดท้าย ซึ่งก็คือการเปิดใช้งาน Bellatrix hard fork สำหรับการอัพเกรด The Merge เพื่อเตรียมรวม Beacon Chain เข้ากับ Blockchain หลัก ที่คาดว่าจะผสานกันเสร็จสมบูรณ์ประมาณวันที่ 13-15 กันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งการมาของ The Merge เป็นเพียงขั้นแรกสำหรับการพัฒนาไปสู่ Ethereum 2.0 เท่านั้น โดยเริ่มแก้ไขปัญหาการใช้พลังงานไฟฟ้าก่อน และจะมีการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งความเร็วในการทำธุรกรรม หรือ Scalability ปรับปรุงโครงสร้างเพื่อให้ Chain มีการกระจายอำนาจมากขึ้น และอัพเกรดด้านความปลอดภัยในลำดับต่อไป
ข่าวเด่น