เรียกได้ว่าสถานการณ์มีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ "อีลอน มัสก์" มหาเศรษฐีอันดับ1 ของโลก ผู้ก่อตั้ง Tesla ได้ก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของใหม่ป้ายแดงบริษัททวิตเตอร์ ท่ามกลางความเคลือบแคลงใจถึงนโยบายการบริหารงาน จนผู้บริหารระดับสูงลาออก และผู้ใช้งานทวิตเตอร์ก็ปิดบัญชีตัวเองไปรายหลาย รวมถึงประเด็นความมั่นคงของประเทศตามมาอีก ตามสัปดาห์ที่แล้วที่ทาง AC NEWS ได้รายงานไปใน “อีลอน มัสก์ รับศึกหนัก ครองทวิตเตอร์ ช่วงเสี่ยงล้มละลาย ท่ามกลางความไม่ไว้วางใจจากสายตาทุกคู่” ล่าสุด ยิงยาวมาถึงในสัปดาห์นี้ สถานการณ์ในบริษัทก็ดูเหมือนจะวิกฤติมากกว่าเก่า จนเป็นที่แตกตื่นในหมู่ผู้ใช้ทวิตเตอร์เป็นวงกว้างว่าเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาล่มสลายของทวิตเตอร์แล้วก็เป็นได้
ตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา Topic ว่า “ทวิตเตอร์กำลังล้มละลาย” หรือ “ทวิตเตอร์จะอยู่ไม่ได้แล้วหลังตกเป็นของอีลอน มัสก์” กำลังเป็น Talk of the town ในหมู่ประชากรชาวทวิตเตอร์ทั่วทุกมุมโลกในตอนนี้ ซึ่งความตื่นตระหนกดังกล่าวปะทุขึ้นมาภายหลังจากการเลิกจ้างงานพนักงานออกไป 7,500 ตำแหน่ง หรือกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทเมื่อช่วงสัปดาห์แรกหลังจากเป็นเจ้าของทวิตเตอร์อย่างเต็มตัว ไล่ผู้บริหารระดับสูง และทีมสิทธิมนุษยชนออกไปแล้ว เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ก็ยังมีการส่งอีเมลอีกฉบับ แจ้งไปยังพนักงานที่เหลืออยู่ โดยมีใจความว่า ตอนนี้ทวิตเตอร์ก้าวเข้าสู่ Twitter 2.0 จะมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรโดยพนักงานจะต้องทำงานหนักขึ้นภายใต้แรงกดดันที่มากขึ้น ส่วนฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์จะขึ้นตรงกับอีลอน มัสก์ หากใครที่อยู่ต่อ พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าไปด้วยกัน ให้กด "Yes" ที่แนบมากับอีเมล หรือลาออกไปเพื่อรับเงินชดเชย 3 เดือน ( อีเมลนี้เป็นอีเมลฉบับที่สอง หลังจากส่งอีเมลอย่างเป็นทางการฉบับแรก ที่ประกาศให้ยกเลิกนโยบาย Work from Home และกลับมาทำงานที่สำนักงานไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อรับมือกับปัญหาของบริษัท พร้อมบอกกล่าวพนักงานว่าต้องทำงานหนักมากขึ้น หารายได้เข้าบริษัทเพิ่มขึ้นอันเป็นสัญญาณต่อมาของอีเมลฉบับที่สอง)
บัญชีทวิตเตอร์ของอีลอน มัสก์ โพสภาพเชิงสัญญะถึงการเปลี่ยนผ่านบริษัท สู่ยุค Twitter 2.0
ผลปรากฏว่า พนักงานส่วนใหญ่ในบริษัทเลือกที่จะรับเงินชดเชยและไม่ขอร่วมเดินหน้าต่อกับทวิตเตอร์ ซึ่งจำนวนที่ลาออกนั้นมีมากกว่าครึ่ง จนมีข่าวลือออกมาว่า ใน ณ ขณะนี้ พนักงานของทวิตเตอร์มีจำนวนไม่ถึง 300 คนเสียด้วยซ้ำ(จากที่เหลือกว่า 7,000 คน) จนบริษัทต้องทำการปิดออฟฟิศ ซึ่งทาง CNN ได้ออกมายืนยันว่า ทวิตเตอร์ส่งอีเมลแจ้งพนักงานว่าบริษัท จะปิดไม่ให้มีใครเข้าจนกว่าจะถึงวันจันทร์หน้า ด้วยเหตุที่มีการคาดการณ์ว่า เพราะจำนวนพนักงานที่ลาออกเยอะเกินไปนั้น จึงมีความกังวลถึงความเสี่ยงที่พนักงานอาจมีการนำข้อมูลออกไปขาย หรือมีการทำลายทรัพย์สินเกิดขึ้น
สถานการณ์ผิดแปลกที่เกิดขึ้นกับทวิตเตอร์ จึงสร้างความรู้สึกไม่มั่นคงต่อการใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว ผู้ใช้หลายๆ คน ที่ใช้ทวิตเตอร์เป็นพาร์ทหลักในการท่องโลกโซเชี่ยลออนไลน์จนติดเป็นชีวิตประจำวัน ต่างออกมาฝากโซเชี่ยลมีเดียในแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อเป็นการเตรียมตัวรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน ที่กลัวว่าทวิตเตอร์จะทำการ Shut Down ตัวเองในท้ายที่สุด
และล่าสุดนี้ ได้มีการประกาศจาก อีลอน มัสก์ ออกมาใหม่ว่า จะลดเวลาทำงานในทวิตเตอร์ และจะมองหาผู้นำคนใหม่มาบริหารแทน เพราะตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าตัวจำเป็นต้องทำ เพื่อจัดระเบียบโครงสร้างองค์กรทวิตเตอร์ใหม่ ให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็ต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า อีลอน มัสก์ จะเดินไพ่อย่างไรต่อไป และจะแก้ไขวิกฤติดังกล่าวได้หรือไม่ หลังการเปิดออฟฟิศในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
ข่าวเด่น