จากการประกาศเปิดประเทศของจีนในวันที่ 8 ม.ค.2023 นี้ คนจีนจะสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างเป็นทางการ ซึ่ง 1 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนก็คงจะหนีไม่พ้นประเทศไทย ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่า นักท่องเที่ยวจีนคือ ตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับภาคการท่องเที่ยวไทยในช่วงก่อนการเกิดไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด และภาคการท่องเที่ยวก็เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อไทยได้มีการเปิดประเทศในช่วงเดือนก.ค.ปีที่ผ่านมา ก็เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจไทยได้มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามา ค่าเงินบาทก็ทยอยแข็งค่าขึ้น และการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนก็จะยิ่งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตกลับมาเท่ากับช่วง Pre Covid ได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงก่อนเกิดไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด ปี 2018 มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังไทยจำนวน 10.6 ล้านคน มีเม็ดเงินสะพัด 5.22 แสนล้านบาท ส่วนปี 2019 มีนักท่องเที่ยวจีน 11.1 ล้านคน มีเม็ดเงินสะพัด 5.31 แสนล้านบาท ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนนั้นกินสัดส่วน 1 ใน 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เข้ามายังไทยเลยทีเดียว และยังถือว่าเป็นชาติที่ใช้เงินเที่ยวไทยมากที่สุดอีกด้วย แต่เมื่อโลกเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ปี 2020 นักท่องเที่ยวจีนก็ลดลงเหลือ 1.2 ล้าน คน ปี 2021 เหลือเพียง 13,034 คน และปี 2022 อยู่ที่ 219,421 คน
ฉะนั้นการเปิดประเทศของจีนจะเป็นอีเว้นท์สำคัญที่สร้างโอกาสให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยในปีนี้ โดยทางด้านของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดเผยว่า หลังที่จีนได้ประกาศเปิดประเทศ โดยมีการผ่อนคลายมาตรการโควิดสำหรับผู้ที่เดินทางออกนอกประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2023 เป็นต้นไป ก็มีไฟล์บินจากเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของจีนเข้ามายังไทยเป็นเที่ยวบินแรก จำนวน 200 คน ในวันที่ 9 ม.ค.2023 และจากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ระบุว่าจากรายงานของสำนักงานสายการบินของจีนก็ได้เริ่มเข้ามาเจรจากับไทยเพื่อเปิดเส้นทางการบิน โดยมีแผนค่อยๆ เพิ่มโควต้าการบินตามขีดความสามารถของท่าอากาศยานต้นทางและปลายทาง จีน-ไทย ซึ่งมีสัญญาณที่ไฟล์บินจะเพิ่มมากขึ้นหลังเทศกาลตรุษจีน (เป็นช่วงที่ชาวจีนจะออกเดินทางท่องเที่ยว)
สอดคล้องกับทางด้านของรองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเข้ามายังไทยช่วงไตรมาสแรกปีนี้ประมาณ 300,000 คน (ม.ค. 60,000 คน ก.พ. 90,000 คน มี.ค. 150,000 คน) และทั้งปีนี้ยังคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความกังวลอยู่ว่า ในตอนนี้ไวรัสโควิด-19 ได้เริ่มกลับมาระบาดในจีนอีกครั้ง อย่างในตอนนี้ที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีนยังประสบปัญหาผู้ป่วยโควิด-19 ล้นโรงพยาบาล มีรถฉุกเฉินนำตัวผู้ป่วยมาส่งยังโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางด้านสมาชิกคณะที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญด้านไวรัสโควิด-19 ประเมินว่า คนจีนในเซี่ยงไฮ้น่าจะติดเชื้อไปแล้วกว่า 70% จากจำนวนประชากร 25 ล้านคน เพิ่มขึ้นมา 30 เท่า จากการระบาดเมื่อกลางปีที่แล้ว ทำให้ในหลายๆ ประเทศพิจารณาออกมาตรการคุมเข้ม คัดกรองไวรัสโควิด-19 สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีนเป็นพิเศษ ทั้งการสุ่มตรวจเชื้อ และบังคับดูผลตรวจเชื้อเป็นลบก่อนออกเดินทาง เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยการระบาดในต้นปี 2020
แต่ทางด้านของไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการประชุมหารือมาตรการรับนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมาไทยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ไทยยืนยันที่จะ ไม่เลือกปฏิบัติต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงไม่มีมาตรการสำหรับนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะเหมือนประเทศอื่น โดยนายอนุทิน กล่าวว่า จากการหารือประเทศไทยมีความพร้อมในทุกด้านที่ได้เตรียมการมาตรการที่ครอบคลุมมาก่อนแล้ว ส่วนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ก็ยังมีการระบาดในทุกประเทศ และยังเป็นการระบาดที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน จึงไม่เห็นสมควรที่จะมีการกีดกันประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่ได้เผยแพร่ข้อเสนอแนะจากนายแพทย์ใหญ่หลายคนว่า ไม่ควรต้องวิตกกังวลกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีน
โดยมาตรการด้านสาธารณสุขที่จะรองรับผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศมายังไทยอย่างเท่าเทียมทุกประเทศ (รวมถึงประเทศจีน) คือ ก่อนเข้าประเทศไทย จำเป็นต้องฉีดวัคซีนโค วิด-19 อย่างน้อย 2 เข็ม หากมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ควรเลื่อนการเดินทางและ รักษาให้หายก่อนเพื่อลดการแพร่โรค (เป็นคำแนะนำ ไม่ใช่ข้อบังคับ) และให้ซื้อประกันสุขภาพเดินทางที่ครอบคลุมการรักษาโรคไวรัสโควิด-19 ก่อนเข้ามาในประเทศ และไม่มีข้อกำหนดให้นักท่องเที่ยวจีนแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ หรือมีการตรวจคัดกรองโควิด-19 ที่สนามบินแต่เพียงอย่างใด แตกต่างจากประเทศอื่นซึ่งในขณะนี้มีอย่างน้อย 9 ประเทศได้แก่ ฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร อิสราเอล สหรัฐอเมริกา แคนาดา อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่กำหนดให้ตรวจโควิดด้วยวิธี PCR ในวันแรกที่เข้าประเทศ ซึ่งต้องโชว์ผลตรวจเป็นลบก่อนเข้าประเทศ รวมถึงมีการตรวจหาเชื้อในสนามบินร่วมด้วย
จากข้อมูลข้างต้นดังกล่าว สามารถมองเห็นข้อได้เปรียบของไทยได้ว่ามีมาตรการการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนที่ไม่ยุ่งยาก สร้างโอกาสที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมายังไทยมากกว่าเดิม และสร้างทัศนคติเป็นบวกต่อประเทศไทย เทียบกับประเทศที่กล่าวก่อน หน้านี้ ที่เพ่งเล็งจีนโดยเฉพาะ จนทำให้ความสัมพันธ์กับจีนเริ่มจะสั่นคลอน จากที่ นาง เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ออกมาตอบโต้ว่าการจำกัดการเข้าประเทศที่หลายประเทศนำมาใช้ต่อจีนนั้น ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักวิทยาศาสตร์ และ คัดค้านอย่างยิ่งต่อความพยายามในการบิดเบือนมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งทางจีนได้ขู่ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ให้สาสม แต่อนึ่งยัอนกลับมาดูไทย หากเกิดเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมเหมือนกับช่วงต้นปี 2020 ขึ้นมา ก็อาจทำให้เศรษฐกิจไทยและสาธารณสุขของไทยกลับไปย่ำแย่แบบเดิมก็เป็นได้
ข่าวเด่น