Zero-COVID นโยบายการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้เป็นศูนย์ของจีนที่ยิงยาวมาตั้งแต่ปลายเดือนม.ค.2020 ด้วยการล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่น และเมืองอื่นๆในบริเวณที่พบเจอผู้ติดเชื้อ แม้จะมีไม่กี่คนก็ตาม โรงเรียน ร้านค้าธุรกิจ ต่างต้องปิดทำการชั่วคราว กักกันบริเวณพื้นที่เสี่ยง จนกว่าจะไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในพื้นที่ มาตรการควบคุมโควิดที่เข้มงวดสุดขีดนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจจีนที่ตกต่ำลง กระทบถึงเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียและระดับเศรษฐกิจโลกมาเกือบ 3 ปี แต่ล่าสุดวันที่ 7 ธ.ค. 2022 ทางการจีนได้หันหัวเรือกลับกระทันหัน ประกาศยกเลิกนโยบาย Zero-COVID และได้ประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา การผ่อนคลายนี้เองทำให้เกิดปัจจัยบวกและโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระดับมหภาค
ในช่วงที่มาตรการ Zero-COVID ยังมีผลบังคับใช้อยู่ การล็อกดาวน์ในหลายเมืองของจีน โดยเฉพาะเซินเจิ้น เมืองที่เป็นศูนย์กลางของภาคเทคโนโลยี และเมืองที่เป็น ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างเซี่ยงไฮ้ ที่รวมศูนย์อำนาจทางการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจในประเทศเกิดการหยุดชะงัก ทั้ง โรงงานและท่าเรือต้องปิดตัวลงเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบต่อสายการขนส่งและสายการผลิต (จีนเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก เนื่องจากมีแรงงานที่ถูก) ของบริษัทในประเทศ รวมถึงบริษัทต่างชาติที่มีฐานการผลิตในจีนด้วย เศรษฐกิจจีนจึงเติบโตเพียง 3.9% ในปี 2022 (จากเป้าหมายที่วางไว้ 5.5%)
ไม่เพียงแค่นั้น ในรัฐบาลที่นำโดย สีจิ้นผิง ที่ดำรงตำแหน่งต่อสมัยที่ 3 มีมาตรการเชิงรุกที่ควบคุมการประกอบการและปราบปรามอุตสาหกรรมที่ผูกขาดเกินไป โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศ ทั้ง Alibaba, JD.com, Tencent, Baidu หรือ Meituan หุ้นของบริษัทเหล่านี้จึงทิ้งดิ่งลงไป (ร่วงลง 10% หลังการประกาศการเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 24 ต.ค. 2022) เพราะนักลงทุนต่างแสดงความกังวลในความไม่แน่นอน ของการถือครองหุ้นจีนในระยะยาว และคาดเดาไม่ได้ว่านโยบาย Zero-COVID ที่ทำให้เศรษฐกิจจีนซบเซานี้จะบังคับใช้ไปอีกนานแค่ไหน
แต่ผิดคาด เมื่อล่าสุดรัฐบาลจีนได้กลับลำยกเลิกนโยบาย Zero-COVID อย่างกะทันหัน มีการเปิดประเทศเกือบเต็มรูปแบบ ก็เป็นข่าวดีให้กับเศรษฐกิจโลก เพราะภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ มีการเปลี่ยนนโยบายควบคุมโควิดเป็นไปตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และคำนึงถึงความจำเป็นทางเศรษฐกิจและสังคม โดยรัฐบาลของสีจิ้นผิง ก็ยังย้ำว่ายังสนับสนุนเทคโนโลยีเป็นอันดับต้นๆของการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ (1 ในนโยบายจีนที่โดดเด่นคือ การให้จีนเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม AI ภายในปี 2573) แต่ที่มีการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีก่อนหน้านั้น เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างไม่ให้บริษัทดังกล่าวมีอิทธิพลเกินอำนาจของทางรัฐบาล จีน ในตอนนี้ภายหลังการประกาศ หุ้นเทคโนโลยีดังกล่าวจึงกลับมาโตเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นของ Alibaba ที่รัฐอนุญาตให้ Ant Financial บริษัทในเครือของกลุ่ม บริษัทอาลีบาบาในจีนระดมทุนเข้าตลาด ทำให้หุ้นบวกถึง 12%
นอกจากนี้ ในส่วนของฝั่งอสังหาริมทรัพย์ จีนได้เตรียมเงินกู้พิเศษ 2.92 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นการช่วยเหลืออสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาลงจากปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่โตเร็วเกินไป ทั้งการปล่อยเครดิต การกู้เงินกันกระจาย จนตลาดดังกล่าวได้กลายเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรมากกว่าใช้เป็นที่อยู่อาศัย จนเมื่อเกิดนโยบาย Zero COVID ที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจลงไปอีก ก็ทำให้สำนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ล้มหายกันเป็นระนาวจากเรื่องของ Financial หลายบริษัทถอนตัวจากโครงการ การก่อสร้างหยุดชะงัก ทำให้เกิดความกังวลของบรรดาผู้ซื้อโครงการบ้านหรือคอนโดที่ยังไม่แล้วเสร็จและตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว จนก่อเกิดการลุกฮือ ประท้วงหยุดจ่ายเงินผ่อนบ้าน
แต่เมื่อสีจิ้นผิงได้กลับลำเข้าช่วยอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารจีนยังได้จัดตั้งกองทุนกว่า 1.6 แสนล้านบาทในการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ไปต่อไม่ได้ คนที่อยู่รอดช้อนซื้อ โครงการจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ล้มหายตายจากไป สถานการณ์ก็กลับมาดีขึ้น ผู้คนหันมาจ่ายหนี้ผ่อนบ้านเหมือนเดิม เพราะความไว้วางใจกลับมา รวมถึงบริษัท Evergrande ก็ได้ประกาศกลับมาสานต่อโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตนต่อให้แล้วเสร็จ
ด้วยขนาดของเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก การเกิดปัญหาภายในย่อมส่งแรงกระเพื่อมต่อระบบการเงินโลกได้ และเมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นดีขึ้น จากการยกเลิกนโยบาย Zero COVID และการเปิดประเทศ ก็แน่นอนว่าย่อมส่งผลทำให้ บรรยากาศของเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้นได้ เช่น สายการผลิตกลับมาเป็นปกติ คนจีนมีกำลังซื้อมากขึ้น ส่งผลดีต่อสินค้านำเข้า ภาคการท่องเที่ยวกลับมายืนได้เหมือนเดิม ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียดีดตัวสูงขึ้น และช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกไม่ให้ชะลอตัวลงมากเกินไป โดยคาดการณ์ว่าปี 2566 นี้ GDP จีนจะมีการเติบโตอยู่ที่ 5%
ข่าวเด่น