หลายทศวรรษที่ผ่านมา เราคุ้นชินกับการบริโภคสินค้า วัฒนธรรมรูปแบบปฏิบัติต่างๆ อิทธิพลของสื่อ หรือภาษาราชการที่ใช้กันทั่วโลก ที่เป็นตัวสะท้อนถึงอิทธิพลจากฝั่งประเทศตะวันตกที่เข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของคนเอเชียแทบจะทุกประเทศ ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือประเด็นใดเกิดขึ้นมาในหน้ากระดานโลก กระแสหลักและการได้รับการยอมรับจะอยู่ในฝั่งของทางสหรัฐหรือจากทางยุโรปทั้งสิ้น แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา โลกกำลังหมุนเปลี่ยนแปลงไป เพราะขณะนี้เอเชียกำลังได้รับการยกย่องจากทั่วสารทิศ โดยเฉพาะในด้านของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่า ในศตวรรษที่ 21 นี้ คือศตวรรษแห่งเอเชียเป็นใหญ่
จากการวิจัยของ McKincy & Company ได้รายงานว่า อนาคตของเอเชียได้เดินทางมาถึงแล้ว โดยได้ประเมินว่าในปี 2040 เอเชียจะกินสัดส่วน GDP ของโลกถึง 50% และจะเป็นกลุ่มบริโภคของโลกกว่า 40% เลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของโลกในอนาคตอีกด้วย ซึ่งหากมาดูในเรื่องของการทำธุรกิจ อย่างพวกองค์กรใหญ่ๆนั้น บริษัทจากฟากฝั่งเอเชียก็ทำการผลักดันรายได้เฉลี่ยแล้วกว่า 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับเศรษฐกิจของโลกในทุกๆปี (เช่น Alibaba Toyota และ TSMC ผู้ผลิต Semi conductor เป็นต้น)
โลกปัจจุบันที่เราอยู่ตอนนี้นั้นก็เป็นโลกที่มีความเกี่ยวโยงกับเรื่องของดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆในเกือบจะทุกมิติของการใช้ชีวิต และปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมา ถ้านึกถึงบทบาทของเทคโนโลยีขั้นสูงจะอยู่ในฝั่งของยุโรปและทางสหรัฐเป็นส่วนใหญ่ๆ แต่ในตอนนี้โลกได้ถึงคราวเปลี่ยนโอนถ่ายอำนาจของผู้นำในด้านนี้แล้ว เพราะข้อมูลจาก National Science Board (NSB) หรือคณะกรรมการวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในส่วนของ Science & Enginering Indicators ได้รายงานว่า ระดับการพัฒนาเทคโนโลยีของโลก ประเทศจากฝั่งเอเชียมีระดับการพัฒนาที่สูงที่สุด โดยอ้างอิงจากการส่งออกอุตสาหกรรมความรู้และเทคโนโลยีทั่วโลก (KTI) อันดับ1 คือจีน กินสัดส่วน 17% อันดับ 4 ญี่ปุ่น 7% และอันดับ 5 เกาหลีใต้ อยู่ที่ 6% ทั้ง 3 ประเทศนี้คิดเป็นส่วนแบ่งทั้งหมด 30% ในการส่งออก KTI ทั่วโลก
และเจาะลึกเข้าไปถึงอุตสาหกรรมของ KTI จะเห็นข้อมูลจากรูปด้านบนว่า องค์ความรู้หลักจะอยู่ในส่วนของยานยนต์มาเป็นอันดับ1 และพวกคอมพิวเตอร์เป็นอันดับ 2 ซึ่งสอดคล้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ที่อนาคตกำลังเตรียมพุ่งทะยานเติบโตอย่างฉุดไม่อยู่ จากทั้งมิติของเรื่องการรักษ์โลกในทุกภาคส่วนตั้งแต่ธุรกิจ ที่ต่างมุ่งเข้ามาจับเรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมในการดำเนินงาน หรือการเรียกร้องจากทางฝั่งของผู้บริโภคที่มี Demand ในสินค้าและบริการที่เกี่ยวโยงกับพลังงานสีเขียวมากกว่าการบริโภคของที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายโลก เป็นเหตุผลที่ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV นั้นมีทิศทางการตอบรับอยู่ในระดับที่สูงขึ้นๆในทุกๆปี มี Infrastructure รองรับเข้ามามากขึ้น ซึ่งกำลังมาเป็น Major Change ที่จะ Disrupt อุตสาหกรรมรถยนต์เครื่องสันดาป โดยอุตสาหกรรมรถยนต์แบบ EV นั้นผู้ผลิตแบรนด์รายใหญ่ก็อยู่ในฝั่งของเอเชีย ทั้ง BYD สัญชาติจีนที่สร้างยอดขายเป็นอันดับ1ของโลก (เป็นใหญ่รองจาก Tesla และ Toyota เท่านั้น) อีกทั้งยังมีแบรนด์รถยนต์ EV ของทางฝั่งจีนอีกหลายแบรนด์ที่กำลังรุกพัฒนาขึ้นมาแข่งขันกันในอุตสาหกรรมนี้ นอกจากนี้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ (ที่รถ EV ต้องใช้รวมถึงเป็นแหล่งจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ) จีนก็ยังเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกในด้านนี้ (อันดับ1 CATL ของจีน อันดับ2 BYD ของจีน และอันดับ3 LG ของเกาหลีใต้)
และอุตสาหกรรมไมโครชิป ศูนย์กลางสมองกลและเส้นประสาทของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนและอื่นๆ (อันดับ2 ของKTI) ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกก็อยู่ในฝั่งของไต้หวัน ซึ่งก็คือบริษัท TSMC ส่วนจีนและญี่ปุ่นก็เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีอิทธิพลของโลกเช่นกัน ซึ่งภาพรวมของอุตสาหกรรมชิปนั้น จากรายงานของทาง Nikkel Asia ก็พบว่า หากรวมชิปของ TSMC และจาก Samsung เข้าด้วยกัน ก็ถือว่ากินสัดส่วนของอุตสาหกรรมนี้ประมาณกว่า 69% ของโลกเลยทีเดียว และถ้าหากจะมองในภาพของกำลังการผลิตที่คิดเป็นเชิงปริมาณทั่วโลก (Global Semiconductor manufacturing Capacity) จากรายงานของ Boston Consulting Group ก็ได้รายงานว่า ทางจีนมีกำลังการผลิตที่แซงหน้าสหรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
จะเห็นได้ว่าโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่เกี่ยวกับโลกอนาคต อย่างอุตสาหกรรมที่เป็น Deep Technology หรือเทคโนโลยีขั้นสูง ฝั่งเอเชียได้เข้าประจำที่ และครอบครองตลาดของโลกส่วนใหญ่เอาไว้หมดแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจกำลังย้ายมาในฝั่งของเอเชียแล้ว ด้วยการตะล่อมเข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านของเทคโนโลยีเบื้องหลังอย่างแบตเตอรี่และชิปที่ได้กล่าวไป ก่อนที่จะมาเชิดฉายบนหน้าเวทีโลก เมื่อเอเชียได้ครอบครองโลกนี้อย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
แล้วประเทศไทยของเราอยู่ตรงไหน
จากข้อมูลของทาง Yahoo Finance ประเทศไทยนั้นติดอันดับ 10 ที่มีการผลักดันด้านอุตสาหกรรมการบริการ (58.3% ของ GDP ในปี 2020) และในปี 2021 อุตสาหกรรมดังกล่าวของไทยก็เติบโตขึ้นมากว่า 7.31% สร้างรายได้รวมกว่า 137 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วงปีที่แล้วการท่องเที่ยวของไทยก็ถือว่าเติบโตกว่าที่คาด และปีนี้จากการเปิดประเทศของจีน ก็จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยกลับมาสดใสมากขึ้นไปอีก ส่วนเรื่องของ FDI หรือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ไทยนั้นมีการเติบโตขึ้น 39% ซึ่งแสดงถึงการเข้ามาลงทุนในไทยค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวที่เป็นในช่วงปีแล้ว โดยอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนคือ ด้านอิเล็กทรอนิกส์ และ Supply Chain ของรถยนต์ EV สอดคล้องกับอุตสาหกรรมการเติบโตของเอเชีย ไม่เพียงแค่นั้นฐานการผลิตของอุปกรณ์กล้องก็ย้ายเข้ามาผลิตที่ไทย เช่น Sony ที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยกว่า 90% เช่นกัน จากข้อมูลทั้งหมดนี้ จึงอาจเป็นเหตุผลสนับสนุนที่ทาง JP Morgan ได้ออกมาบอกว่าในปีนี้ตลาดหุ้นไทยนั้นน่าลงทุนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งหมดนี้ก็เป็นภาพรวมของเอเชียที่ว่าเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจโลกที่สูงมาก และหากรวมถึงเรื่องของค่าแรงในการผลิตที่เป็นมิตรกว่าประเทศในโซนอื่นที่เอื้อให้โรงงานการผลิตต่างย้ายฐานเข้ามายังเอเชีย หรือจะเป็นการเติบโตของจำนวนประชากรที่อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และจีนที่กินขาด จึงไม่แปลกนักที่ในศตวรรษ 21 นี้ เอเชียจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่มีบทบาทสำคัญของโลกในอนาคต แทนที่ฝั่งตะวันตกที่ถึงคราวต้องสละบัลลังก์ลงไป
ข่าวเด่น