ตั้งแต่ช่วงเข้าสู่ปี 2023 ที่ผ่านมาแล้วเกือบสามเดือน สถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐดูมีทีท่าว่าจะลดระดับลงเรื่อยๆ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนนั้นกลับมาดีขึ้น เนื่องจากนักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ต่างมองไปในทิศทางบวกว่า เมื่อเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย ทางเฟด หรือธนาคารกลางสหรัฐ จะค่อยๆผ่อนคลายระดับอัตราการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ตั้งแต่ค่า CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภคมีทิศทางที่ลดต่ำลง อัตราการขึ้นดอกเบี้ยก็ปรับตัวลดลงด้วย จากครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลงมาเหลือ 0.25% เป็นครั้งที่ 2 เราจึงเห็นตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและคริปโตนั้นดีดตัวกลับขึ้นมา เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้ Volume การซื้อขายนั้นเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
แต่เห็นทีว่ายังไม่ทันจัดงานรื่นเริง คนที่ติดดอยจากการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อปีที่แล้วยังไม่ทันขึ้นรถกลับลงมา ก็เจอเข้ากับท่าทีของ เจอโรม พาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ในการแถลงต่อสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า แม้เงินเฟ้อโดยรวมสหรัฐจะไล่ระดับลดลงไป แต่เงินเฟ้อในฝั่งของภาคการบริการและการเช่าอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีทิศทางเติบโตสูงอยู่ อีกทั้งอัตราการจ้างงานออกมาสูงกว่าที่คาด โดยมีการเพิ่มงานอยู่ที่ 311,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว มากกว่าที่คาดไว้ 205,000 ตำแหน่ง เศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง มีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบมากขนาดนี้ ทำให้แผนของทางเฟดที่จะลดระดับเงินเฟ้อให้เหลือแค่ 2% ตามเป้านั้น จึงอาจเป็นเรื่องที่จำเป็นที่เฟดจะต้องเร่งอัตราการขึ้นดอกเบี้ยที่แรงกว่านี้
แนวโน้มการคาดการณ์ของตลาดในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด จาก Cmegroup
หลังจากการทิ้งระเบิดดังกล่าว ก็ทำให้ตลาดลงทุนโดยรวมกลับมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกครั้ง เมื่อนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนส่วนใหญ่มีการคาดการณ์ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 0.25% ตามการรายงานของ CME Fedwatch ด้านบน ที่มองว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปในวันที่ 22 มี.ค. นี้เฟดเร่งอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 0.5% ก็เป็นปัจจัยหลักที่กลับมากดดันเหล่าสินทรัพย์เสี่ยง นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันจ้าละหวั่น เพราะหากเฟดกลับมาเร่งเครื่องอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง จะทำให้เกิดสภาวะ Recession หรือสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างแน่แท้ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจจะยังคงฟืดเคืองเหมือนปีที่แล้ว ทุกคนต้องกลับมาถือครองกระแสเงินสดเอาไว้กับตัว ทำให้การประกอบธุรกิจของบริษัทต่างๆทำกำไรได้ไม่ดีนักตามไปด้วย จึงเป็นเหตุที่ไม่มีใครอยากจะลงทุนหุ้นในเวลานี้นัก ทั้งหุ้นของ SVB Financial Group ที่อยู่ใน Nasdaq ธนาคารซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกธุรกิจ จึงร่วงลงทันที 60% หลังการประกาศ
ส่วนด้านของเหรียญคริปโตจากที่จะพึ่งทรงตัวขึ้นมา หลังจากเกิดตลาดหมี (Bear Market) มาตั้งแต่ปีที่แล้ว Bitcoin ก็ร่วงลงจนไปแตะที่ระดับต่ำสุด 19,547 ดอลลาร์สหรัฐอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งเหรียญอื่นๆในตลาดก็พากันลดต่ำตามไปด้วย ส่วนด้านของประเทศไทย ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปิดตลาดปรับตัวลดลง -5.91 จุด เคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงนี้ 1,600 – 1,620 จุดทันที จากปัจจัยการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า กดดันให้ค่าเงินบาทอ่อน โดยหลังการประกาศ ค่าเงินบาทได้ผันผวนกลับมายืนเหนือ 35 บาทอีกครั้งหนึ่ง ด้านนักลงทุนต่างชาติจึงได้ขายสุทธิหุ้นไทยสูงถึง 3,987 ล้านบาท แสดงถึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) มีโอกาสไหลออกต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำกับปีที่แล้ว เมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่า นักลงทุนก็ย่อมขายหุ้นที่ถืออยู่ไปเก็บในสินทรัพย์ที่สร้างโอกาสอย่างพันธบัตรของทางสหรัฐที่ล่าสุดกลับมาให้ผลตอบแทนถึง 4%
และไม่ใช่แค่ที่ไทยเท่านั้น แต่สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากช่องว่างระหว่างตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงและความเสี่ยงต่ำแคบลงจากท่าทีของเฟด อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ใช่การยืนยัน แต่เพียงเป็นอารมณ์ของตลาดที่แสดงถึงความกังวลเท่านั้น ซึ่งผลจะออกหัวหรือก้อยก็คงต้องไปรอลุ้นกันในคืนวันที่ 22 มี.ค. ที่จะถึงนี้
ข่าวเด่น