เดือนพฤษภาคม ถือเป็นเดือนที่นักลงทุนต่างหวาดกลัวกันมากที่สุด เพราะเทศกาลเทขายสินทรัพย์ครั้งยิ่งใหญ่ และสภาพตลาดที่มีความแปรปรวนสูงกำลังจะเข้ามาเยือน หรือที่ในโลกลงทุนเรียกกันว่า ปรากฏการณ์ “Sell In May” การลดราคาสินทรัพย์ทั้งตลาดช่วงเดือนพฤษภาคมที่มีสถิติเกิดขึ้นแทบทุกปี หากใครกำลังถือสินทรัพย์ โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น หรือเหรียญคริปโตอยู่ อาทิตย์นี้อาจเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะพิจารณาศักยภาพของสินทรัพย์ที่เราถืออยู่ในมือ และปรับพอร์ตให้ดีเพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่กำลังจะมาถึง
Sell in May คืออะไร?
“Sell in May and Go Away” เป็นชื่อของเหตุการณ์ที่สินทรัพย์เสี่ยงในเดือนพฤษภาคมนั้นจะมีมูลค่าลดลง ซึ่งมันไม่ใช่เหตุการณ์อาถรรพ์หรือเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด แต่มันคือค่าสถิติที่คนในตลาดส่วนใหญ่มักจะมีการขายสินทรัพย์ที่ตัวเองถือครองอยู่ออกไป โดยมีสาเหตุแรกเริ่มจากการที่ในเดือนพฤษภาคมดังกล่าว จะเป็นเดือนที่บริษัทจดทะเบียนต่างๆมักจะมีการรายงานผลการประกอบการในไตรมาสแรกของปี เป็นการประกาศหรือมีการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในทั้งปีนี้เป็นครั้งแรก รวมไปถึงการจ่ายเงินปันผลก็มักจะอยู่ในเดือนพฤษภาคมเช่นกัน จึงไม่แปลกที่นักลงทุนที่ซื้อหุ้นตามบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว เมื่อทราบถึงข้อมูลและทิศทางของบริษัทที่ตัวเองลงทุน ก็มักจะมีการขายเพื่อทำกำไร หรือมีการวางแผนด้วยการขายสินทรัพย์ออกไปก่อน และรอจังหวะก่อนจะค่อยเข้าช้อนซื้อภายหลังตามการประเมินข้อมูลที่ได้ในช่วงที่คุ้มค่ามากที่สุดเพื่อทำกำไร เราจึงได้เห็นจำนวน Volume ของการขายสินทรัพย์ที่มีมากเป็นพิเศษนั้นเอง และแน่นอนว่าเมื่อเห็นทิศทางกระแสหลักว่ามีหลายคนได้ขายสินทรัพย์ออกไปเป็น Volume ใหญ่ๆ ราคาของสินทรัพย์นั้นก็ย่อมมีมูลค่าลดลงเป็นธรรมดาตามกฎของหลัก Demand-Supply จึงเป็นเหตุผลที่ตลาดจะตกอยู่ในสภาวะความกลัว และเกิดการ Panic Sell แย่งกันเทขายออกไปจนมูลค่าของสินทรัพย์ดังกล่าวนั้นยิ่งตกต่ำลงไปอีก
และในตอนนี้ เทศกาล Sell in May ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่หุ้นเพียงเท่านั้น แต่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างเหรียญคริปโต ก็มีแนวโน้มที่มีมูลค่าลดในช่วงเดียวกันไปกับเขาด้วย เพราะในตลาดลงทุน มีเงินทุนไหลเข้าออกเชื่อมถึงกันทั้งหมดทุกๆสินทรัพย์ เช่น เมื่อสินทรัพย์เสี่ยงราคาตก ราคาของทองคำก็มักจะมีมูลค่าสูงขึ้น เพราะผู้คนต่างซื้อทองเก็บเอาไว้ เพื่อรักษาความมั่นคงของสถานภาพทางการเงิน หรือปรับ Balance พอร์ตของตัวเองไม่ให้ขาดทุน ซึ่งเหรียญคริปโต ที่จัดเป็นสินทรัพย์ประเภทเดียวกับหุ้น จึงไม่แปลกที่เมื่อหุ้นโดยรวมในตลาดมีมูลค่าลดลง และตลาดเกิดความกลัว ความกลัวและความแพนิคก็เลยลามมากระทบกับฟากของสินทรัพย์ดิจิทัลไปด้วย และคนที่อาจขาดทุนจากหุ้นเนื่องจากกระโดดขายออกไม่ทัน หรือจำเป็นต้อง Cut Loss ขาดทุนออกไป ก็เป็นไปได้ที่จะมีการเทขายเหรียญคริปโตเพื่อเป็นการปรับพอร์ตตัวเอง
ควรรับมือกับ Sell in May อย่างไรดี?
สิ่งแรกที่ควรทำเลยคือ แนะนำว่าให้ตรวจสอบสินทรัพย์ในพอร์ตของเราทั้งหมดก่อนว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ มีสัดส่วนเป็นอะไรบ้าง ถ้าในพอร์ตของเราถือครองหุ้นและเหรียญคริปโตในสัดส่วนที่สูง ก็ต้องเตรียมรับมือให้ดี หากเป็นหุ้น ก็จำเป็นต้องติดตามการประกาศจากผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิด เพื่อตัดสินใจที่จะขายได้อย่างทันท่วงที หรืออาจพิจารณาขายก่อนที่บริษัทจะมีการประกาศ เพื่อรักษาเงินต้นและกำไรให้ได้มากที่สุด โดยอาจดูจากสถิติของราคาหุ้นนั้นๆ (เช่น Set Index ที่ดูจากผลตอบแทนย้อนหลังควรขายก่อนเดือนพฤษภาคม) การตัดสินใจจากกราฟ หรือความคิดเห็นของตลาดที่เรากำลังอยู่ ส่วนของตลาดคริปโต ในเดือนพฤษภาคมมักเป็นเดือนที่อันตรายอย่างมาก การขายเหรียญออกไปก่อนแล้วค่อยตามดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอาจเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด โดยเราอาจเลือกช่วงการขายเหรียญออกไปจากการดู Fear and Greed Index ดัชนีวัดความกลัวและความโลภในตลาด ถ้าตลาดอยู่ในช่วง FOMO มีทิศทางไปในทางโลภ ให้พิจารณาขายออกทำกำไรในช่วงเวลานั้น โดยอาจเก็บเงินทุนของตัวเองเอาไว้ในเหรียญ Stable Coin เอาไว้ก่อน เพื่อรอจังหวะเข้าช้อนซื้อในช่วงที่ราคาลดลงมา เพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกต่อหนึ่ง
แต่ทั้งนี้ก็อาจต้องพิจารณาเหตุการณ์อื่นๆที่มีผลกับเรื่องตลาดลงทุนในแต่ละปีเข้ามาร่วมพิจารณาด้วย เช่น รายงานตัวเลขอัตราการจ้างงานของสหรัฐ หรือ Non-Farm ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ หากตัวเลขประกาศนั้นอยู่ในทิศทางที่ดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ ที่บ่งบอกว่าอัตราการจ้างงานนั้นสูงขึ้น ก็จะส่งผลบวกให้กับสินทรัพย์เสี่ยงนั้นมีมูลค่ามากขึ้น หรือการประกาศอัตราดอกเบี้ยของทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ก็จะเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทร่วมกับช่วงของ Sell in May ด้วยเช่นกัน
ข่าวเด่น