Special Report : ราคา Bitcoin อาจพุ่งสูงถึง 45,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยบวกหนุนนำ


 

ในเดือน พ.ค. ที่เป็นปรากฏการณ์ Sell in May หรือช่วงของการเทขายสินทรัพย์ครั้งใหญ่ ก็ได้ทำให้สินทรัพย์ประเภทที่มีความเสี่ยงและความผันผวนมากที่สุดอย่าง Bitcoin มีการลดมูลค่าลงไป จากที่ระดับ 29,000 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC สู่ระดับต่ำสุดของเดือนที่ระดับ 25,XXX ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ก่อนกราฟจะทำแท่งเขียวดันราคาของ Bitcoin กลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 27,000 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ในช่วง 4 วันนี้ตามระยะเวลาของเดือน พ.ค.ที่กำลังจะจบลง และดูเหมือนว่าสัญญาณบวกของราคา Bitcoin ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องของการปิดฉากเดือน Sell in May เพียงเท่านั้น เพราะทาง JP Morgan บริษัทให้บริการทางการเงิน และการลงทุนยักษ์ใหญ่ของทางสหรัฐ ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า ราคาของ Bitcoin อาจพุ่งขึ้นสูงถึงระดับ 45,000 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องมาจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น

ทางด้านนักวิเคราะห์ของ JP Morgan ได้มองว่าราคา Bitcoin จะพุ่งขึ้นแตะ 45,000 ดอลลาร์สหรัฐภายในเดือนหน้า เนื่องจากปัจจัยประการแรกอย่างมูลค่าทองคำในตอนนี้ได้พุ่งขึ้นสูงกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ Bitcoin ในบริบทของโลกยุคใหม่ที่ยึดถือ Bitcoin เป็นทองคำดิจิทัลในโลกของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีเหมือนกัน โดยมีการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของมูลค่าสินทรัพย์ว่า ด้วยทองคำที่ถูกเทรดอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ศักยภาพของ Bitcoin ก็ควรมีการซื้อขายอยู่ที่ 45,000 ดอลลาร์ (คิดเป็นมูลค่าที่สูงกว่าระดับราคาในปัจจุบันถึง 75%) 

และเรื่องของ Bitcoin Halving หรือการขุด Bitcoin ที่ถ้าหากยังจำกันได้ว่า Bitcoin ใช้ Blockchian ในการตรวจสอบและยืนยันการทำธุรกรรมผ่านระบบฉันทามติแบบ Proof of Work ที่ต้องพึ่งการขุดด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยผู้ที่ช่วยทำการตรวจสอบธุรกรรมด้วยการขุด ก็จะได้เหรียญ Bitcoin เป็นรางวัลตอบแทนกลับมา เราจึงได้เห็นคนทำอาชีพขุด Bitcoin เยอะแยะไปหมดในช่วงที่ Bitcoin เริ่มเป็นที่รู้จักในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ แต่ด้วยคุณสมบัติของ Bitcoin ที่ผู้สร้างได้ฝังชุดคำสั่งไว้ใน Blockchain ว่า จะลดรางวัลจากการขุด Bitcoin ลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ 4 ปี โดย Bitcoin ได้ทำการ Halving ไปแล้ว 3 ครั้งด้วยกัน และกำลังจะเกิดครั้งที่ 4 ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2024 หรือปีหน้าที่จะถึงนี้  ทำให้ต้นทุนการผลิตของ Bitcoin เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเป็นประมาณ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทาง JP Morgan จึงมองว่าการ Halving จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้มูลค่าของ Bitcoin เพิ่มขึ้น (ซึ่งที่ผ่านมา ช่วงของการ Halving ก่อนหน้านี้ในปี 2016 และ 2020 ราคาของ Bitcoin ก็ได้มีการปรับขึ้นเช่นกัน)

อีกทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ได้ส่งสัญญาณการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปีนี้ ก็ทำให้ตลาดการเงินโดยรวมมีความหวังขึ้นมาว่าสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยงจะไม่ถูกกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของทาง Fed แล้ว ทำให้สินทรัพย์ประเภทนี้ทั้งหุ้น และ Digital Asset โดยรวมมีสัญญาณการกลับตัวขึ้นมา

 
ประกอบกับในวันที่ 1 มิ.ย. นี้ ทางฝั่งของฮ่องกงจะอนุมัติให้ Lowing Retail Investors หรือนักลงทุนรายย่อยสามารถทำการซื้อ-ขายเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีกันได้แล้ว อีกทั้งทาง CCTV ที่เป็นสถานีโทรทัศน์รายใหญ่ของจีนก็ได้มีการกระจายข่าวในประเด็นนี้ ก็มีแนวโน้มส่งผลให้มีเม็ดเงินอันมหาศาลจากทางจีนเข้ามาลงทุน จับจองเหรียญ Bitcoin ซึ่งอาจทำให้มูลค่าของเหรียญมีการ Pump ราคาขึ้นไปใกล้เคียงกับเป้าที่ 45,000 ดอลลาร์สหรัฐได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก JPMorgan กล่าวว่า Bitcoin และเหรียญคริปโตเคอร์เรนซียังคงมีความเสี่ยงที่อาจทำให้ราคามีการปรับฐานอีกในอนาคต จากทั้งความเสี่ยงของวิกฤติทางธนาคารที่กำลังมีปัญหาให้เห็นในฝั่งของตะวันตก และ Ecosystem ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่คงที่ และมีปัญหาเกิดขึ้นให้เห็นอยู่ตลอด เช่นเหรียญ Luna หรือการล่มสลายของกระดานเทรด FTX ที่อาจเป็นปัจจัยลบที่ทำให้เกิดการควบคุมจากทางภาครัฐที่ส่งผลต่อราคาของ Digital Asset โดยรวม
 

LastUpdate 28/05/2566 20:04:17 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 12:50 am