Scoop : "จีน" คลื่นลูกใหม่ของประเทศแห่งการศึกษา


 
เชื่อว่าหากพูดถึงการศึกษาต่อต่างประเทศ จุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนส่วนใหญ่ ก็คงจะคิดถึงการไปเรียนต่อยังประเทศอังกฤษ หรือสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับแรก เพราะทั้งสอง ได้รับการขนามนามว่าเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของโลก การได้ไปเรียนต่อ ทั้งในระดับมัธยม หรือระดับอุดมศึกษาขึ้นไป หรือแม้แต่การไปเรียนภาษา ก็ต่างเป็นความฝันของใครหลายๆคนที่อยากจะยกระดับองค์ความรู้ และคุณสมบัติของตัวเองเพื่อเป็นแต้มต่อของเส้นทางชีวิตให้สูงขึ้น

โดยความมีชื่อเสียงของสถาบันการศึกษานั้นสามารถอ้างอิงได้จาก QS World University Rankings หรือระบบการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยของโลก โดยมีการจัดอันดับทุกปี วิเคราห์จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย (International Research Network) การให้ความสำคัญสำหรับการสนับสนุนการจ้างงานบัณฑิต (Employment Outcomes) รวมถึงความมีชื่อเสียงทางด้านวิชาการ ทัศนคติของผู้จ้างงานต่อบัณฑิตที่จบมา และความมุ่งมั่นที่มีต่อการสนับสนุนความยั่งยืน (Sustainability) ที่เป็นเกณฑ์ใหม่ในการพิจารณาเข้ามาอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับ 1 - 2 ของโลกก็จะมีการสับเปลี่ยนระหว่างมหาวิทยาลัยในสหรัฐ และอังกฤษ (Ranking รอบปี 2024 อันดับ 1 คือ Massachusetts Institute of Technology (MIT) ประเทศสหรัฐ อันดับ 2 University of Cambridge ประเทศอังกฤษ) รวมถึงอันดับ Top 10 ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นมหาวิทยาลัยในสหรัฐและอังกฤษทั้งสิ้น

นอกจากเกณฑ์การจัดอันดับสถานศึกษาจากองค์กรชั้นนำระดับโลกจากทาง QS (Quacquarelli Symonds) แล้ว หากจะมองกันในระดับการรับรู้ของผู้คนจากทัศนคติ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนที่ไปเรียนต่อ หรือเรียนจบมาจากสองประเทศนี้ (โดยที่ยังไม่นับรวมถึงชื่อของสถาบันที่จบมา) จะมีภาษีที่ดีมากกว่าคนทั่วไป และยิ่งจบมาจากสถาบันชั้นนำของโลก ก็จะยิ่งมีโปรไฟล์ที่ดีมากขึ้น ได้รับการยอมรับทั้งเส้นทางการทำงาน รวมถึงเส้นทางการใช้ชีวิตในแง่มุมอื่นๆ ซึ่งเหตุผลที่คนส่วนใหญ่มี Perception แบบนี้ เราสามารถไล่มาได้ตั้งแต่เรื่องของประเทศฝั่งตะวันตก-ตะวันออก(เอเชีย) ที่ทั่วโลกจะได้รับอิทธิพลจากฝั่งตะวันตกมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การกิน ความบันเทิง หรือวัฒนธรรมร่วมที่มีมาตรฐานของความเป็นอารยธรรมกำกับไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่องการล่าอาณานิคม (Colonization) กระบวนการสร้างอำนาจควบคุมต่างชาติในอดีต ที่ในหน้าประวัติศาสตร์ สหรัฐเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนประกาศอิสรภาพและตั้งตัวเป็นประเทศใหม่ในปี ค.ศ. 1776 และกลายเป็นประเทศมหาอำนาจในปัจจุบัน ฉะนั้นการแผ่ขยายทางอำนาจก็เป็นการ Set Standard ให้กับทั้งโลกผ่านมาตรวัดทั้งสองประเทศนี้ ทั้งการตั้งให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล การเมือง ความบันเทิง และการศึกษา ซึ่ง QS ที่จัดอันดับมหาวิทยาลัยก็เป็นองค์กรจากทางฝั่งของอังกฤษเช่นกัน

เราจะเห็นได้ว่าเรื่องของระบบการศึกษาที่สหรัฐและอังกฤษได้เป็นศูนย์กลางของโลกนั้น มาจากองค์ประกอบของความเป็นมหาอำนาจที่ปลูกรากฐานกันมาอย่างยาวนาน แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว แม้สหรัฐจะยังเป็นพี่ใหญ่ของโลก ผู้เข้าแข่งขันอย่างประเทศจีน ก็กำลังวิ่งไล่ตามมาติดๆ เพื่อช่วงชิงการเป็นที่ 1 หรือผู้ที่สามารถกำหนดระเบียบกระแสหลักของโลกให้ไปในทิศทางของประเทศตัวเอง ด้วยการสะสมกำลังมาเพียง 70 ปี นับจากการเปิดประเทศเมื่อปี ค.ศ. 1979 แต่สามารถก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ทรงอิทธิพล ทั้งการเมือง กำลังทหาร กำลังเงินที่กระจายตัวลงทุนยังประเทศต่างๆทั่วโลก Soft Power หรือสื่อบันเทิง รวมถึงเรื่องเทคโนโลยีอีกด้วย ซึ่งทรงอิทธิพลขนาดเกิดเป็นการกระทบกระทั่งกันระหว่างสหรัฐและจีน ที่ได้มีการจัดทัพทำสงครามทางการค้าสหรัฐ-จีน อย่าง Trade War และสงครามทางเทคโนโลยี Tech War เมื่อ  3  ปีที่แล้ว

และจากการวิจัยของ McKincy & Company ได้รายงานว่า อนาคตของเอเชียได้เดินทางมาถึงแล้ว โดยได้ประเมินว่าในปี 2040 เอเชียจะกินสัดส่วน GDP ของโลกถึง 50% และจะเป็นกลุ่มบริโภคของโลกกว่า 40% เลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของโลกในอนาคตอีกด้วย ซึ่งประเทศพี่ใหญ่ของเอเชียก็คือจีนนั่นเอง ด้วยความที่จีนนั้นทรงอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ภาษาจีนกลาง หรือภาษาจีนแมนดาริน ก็มีความสำคัญมากขึ้นตามไปด้วย จนตอนนี้กลายเป็นภาษาที่ 3 ที่คนส่วนใหญ่กำลังนิยมเรียนถัดจากภาษาอังกฤษ เพื่อเพิ่มโอกาสในเส้นทางการทำงาน ประกอบกับเรื่องของสื่อบันเทิงที่เริ่มเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ทำให้ทัศนคติที่มีต่อประเทศจีนเป็นบวก และได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่เรื่องของการเรียนต่อยังประเทศจีนได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลจีน ที่วางนโยบายให้ภาคการศึกษานักศึกษาต่างชาติเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การเปิดประเทศทางการจีน มีการจัดตั้งสถาบันขงจื่อและขยายสาขาในหลายประเทศทั่วโลก มีการจัดการสอบวัดระดับภาษาจีน?HSK) เพื่อเป็นเกณฑ์คัดเลือกนักศึกษาต่างชาติในจีน รวมถึงการคัดเลือกคุณสมบัติพื้นฐานอื่นๆเพื่อมอบทุนให้ ก็เป็นการเอื้ออำนวยให้นักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียนในประเทศจีนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ระบบการศึกษาของจีน และมหาวิทยาลัยของจีนก็เริ่มเป็นที่ยอมรับของนานาชาติแล้ว ทั้งการสามารถนำคะแนนเอนทรานซ์ของจีนยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในต่างชาติได้ การทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยของสหรัฐและอังกฤษ รวมถึง Ranking การจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก ที่มหาวิทยาลัยอันดับ1-2 ของจีนที่สลับกันแต่ละปีระหว่าง มหาวิทยาลัยชิงหวา Tsinghua University และ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง Peking University กำลังไต่สูงขึ้นเรื่อยๆใกล้ Top 10 ของโลก จึงเป็นข้อยืนยันได้ว่า จีน กำลังจะกลายเป็นประเทศศูนย์กลางการศึกษาของโลกที่ได้รับการยอมรับเทียบเท่าสหรัฐ และอังกฤษ ในช่วงที่กำลังเปลี่ยนขั้วอำนาจมาทางฝั่งเอเชียในระยะเวลาอีกไม่นานนี้
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 03 ก.ย. 2566 เวลา : 21:36:55
กลับหน้าข่าวเด่น
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 12:27 am