ในระยะหลังๆนี้ เราได้เห็นความบาดหมางระหว่างสหรัฐและจีนปะทุขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย และดูท่าจะยังไม่มีการเชื่อมรอยร้าวของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมหาอำนาจในเร็วๆนี้อย่างช่วงที่ผ่านมา จากประเด็นความขัดแย้งทางด้านภูมิศาสตร์ของสหรัฐและจีน ก็ทำให้เกิดสงครามทางเทคโนโลยี (Tech War) ที่สหรัฐตัดจีนออกจากห่วงโซ่เทคโนโลยีด้วยการจำกัดการค้าขายกับบริษัทชั้นนำของจีนที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายและอุปกรณ์โทรคมนาคมอย่าง Huawei โดยทั้งไม่ขายซัพพลายอุปกรณ์ให้ ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ ทำให้มือถือของ Huawei ไม่มี Google Mobile Services จนกระทบกับยอดขายของบริษัท และ ZTE Corporation ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์ของจีนก็โดนแบนเช่นกันตั้งแต่ช่วงปี 2019 อีกทั้งยังมีประเด็นการพยายามแบน TikTok ตั้งแต่สมัยที่โดนัล ทรัมป์ ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
แม้คำสั่งจะยกเลิกไปแล้ว แต่ความเคลือบแคลงใจในเรื่องของความเป็นส่วนตัวว่า Data ผู้ใช้งานสหรัฐ รัฐบาลจีนอาจสามารถเข้าถึง และนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในวัตถุประสงค์ที่ก่อให้เกิดผล กระทบในทางลบกับสหรัฐได้ จึงมีการจั่วหัวเอาไว้ว่า TikTok คือภัยทางความมั่นคงของชาติ และเริ่มถูกแบนการใช้งานภายในรัฐต่าง ๆ ในที่สุด ซึ่งนำร่องโดยรัฐมอนแทนา (ที่ประกาศสั่งห้ามการใช้งานอย่างเป็นทางการ โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 2024) รวมถึงนิวเจอร์ซีย์ โอไฮโอ เท็กซัส และล่าสุดอย่างในนิวยอร์ค ที่พนักงานที่เกี่ยวข้องกับเทศบาลเมืองถูกสั่งห้ามไม่ให้ดาวน์โหลดติดตั้งแอพ Tiktok ในอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทศบาล รวมถึงการเข้าเว็บไซต์ Tiktok โดยกองบัญชาการไซเบอร์แห่งนครนิวยอร์ก เนื่องจากความกังวลว่ารัฐบาลจีนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานซึ่งเป็นพลเมืองอเมริกัน ผ่านทาง Bytedance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Tiktok ที่อยู่ในจีน
แน่นอนว่าพี่ใหญ่อย่างประเทศจีน ก็คงไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว การโดนแบนที่ส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของจีน นอกจากจะพยายามพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองแล้ว ล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จีนก็ได้เริ่มเดินเกมโจมตีสหรัฐแบบเดียวกัน ตามการรายงานของ Wall Street Journal เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2023 ว่าทางการจีนมีคำสั่งคุมเข้ม สั่งห้ามเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐหรือราชการห้ามใช้ไอโฟน iPhone ของ Apple สำหรับการทำงาน ระหว่างการทำงาน หรือนำเข้ามาในสำนักงาน ซึ่งเป็น 1 ในมาตรการพึ่งพาตนเองในเทคโนโลยี ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมไปถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่จีนกลัวว่าข้อมูลสำคัญในประเทศจะหลุดออกไปจากการใช้ iPhone ที่เป็นของสหรัฐ ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ซึ่งการโต้กลับสหรัฐของจีนครั้งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในวงการเทคโนโลยี เพราะจีนเป็นตลาดสำคัญของ Apple คิดเป็น 19% จากรายได้ทั้งหมดของบริษัท เป็นแหล่งรายได้ 1 ใน 5 ของ Apple และเป็นผู้สร้างรายได้รายใหญ่อันดับสามของ Apple เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการไตรมาสสอง แม้จะเป็นการแบนในกลุ่มเจ้าหน้าที่และราชการ แต่อุดมการณ์รักชาติที่สร้างให้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจได้อย่างทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าชาวจีนส่วนใหญ่อาจมีแนวโน้มที่จะหันมาบริโภคสิ่งของรวมถึงมือถือสัญชาติจีน ที่ตอนนี้ก็มีการพัฒนาซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์อย่างเต็มรูปแบบเช่นกัน โดยหลังจากมีข่าวการแบน iPhone ออกมา ทำให้มูลค่าบริษัท Apple หายไปกว่า 7 ล้านล้านบาท และหุ้นของ Apple (NASDAQ:AAPL) ก็ร่วงลงไปกว่า 6.4% ซึ่งทำราคาต่ำสุดในรอบ 1 เดือนเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น Supply Chain ของ Apple ก็ได้รับผลกระทบจากข่าวไปตามๆกัน จากข้อมูลของทาง Investing กล่าวว่า บริษัท SK Hynix ที่จัดหาชิปหน่วยความจำ ลดลง 4.1% Samsung Electronics ซึ่งจัดหาชิปหน่วยความจำและจอแสดงผลโทรศัพท์ ลดลง 0.9% บริษัท TSMC ของไต้หวัน ที่ผลิต Semiconductor ร่วงลง 0.7% ขณะที่บริษัทผู้ผลิตจอภาพ Japan Display Inc ร่วงลง 2.5% และ Luxshare Precision Industry ซึ่งผลิตสายเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์ Apple จำนวนมาก ลดลง 3.2%
เรียกได้ว่าข่าวการแบน iPhone ที่ออกมา แม้ยังไม่ใช้คำสั่งอย่างเป็นทางการในระดับสาธารณะ แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับ Market Cap ของ Apple ที่ส่งผลกระทบกับบริษัทซัพพลายเออร์อื่นๆที่เกี่ยวโยงกับบริษัท และขยายวงกว้างไปถึงระดับเศรษฐกิจของสหรัฐได้แล้ว และเป็นที่น่าสังเกตว่าไทม์ไลน์การแบน iPhone ในจีนนั้นออกมาก่อนการเปิดตัวของ iPhone 15 รุ่นล่าสุดเพียงไม่กี่วัน (เปิดตัวในวันที่ 12 ก.ย. 2023 นี้) ซึ่งอาจจะเป็นเหตุบังเอิญหรืออาจมีนัยยะซ่อนเร้นก็เป็นได้ แต่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจะยังสานต่อความขัดแย้งกันต่อไป และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเร็วๆนี้
ข่าวเด่น