การออกมาตรการฟรีวีซ่าเพื่อเอื้ออำนวยให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามายังไทยกันมากขึ้น และส่งผลดีกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ประเทศไทยของเราโดยตรงนั้น ที่ผ่านมาคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก ที่รัฐบาลได้ออกฟรีวีซ่าให้กับทางจีน เพราะนักท่องเที่ยวจีน จัดว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทย และใช้เงินเที่ยวไทยมากที่สุด (อ้างอิงในปี 2018 นักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังไทยจำนวน 10.6 ล้านคน มีเม็ดเงินสะพัด 5.22 แสนล้านบาท ส่วนปี 2019 มีนักท่องเที่ยวจีน 11.1 ล้านคน มีเม็ดเงินสะพัด 5.31 แสนล้านบาท) แต่การที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้นำร่องการออกมาตรการฟรีวีซ่าให้กับทั้งชาวจีน และชาว “คาซัคสถาน” ในคราวแรกพร้อมกันเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา แสดงว่าประเทศไทยกำลังเห็นศักยภาพของ “คาซัคสถาน” บางอย่าง ที่อาจเป็นตลาดศักยภาพแห่งใหม่ที่ตีคู่กันกับนักท่องเที่ยวจากจีนได้
ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้เมื่อเราได้ทำการเปิดประเทศในช่วงเดือนก.ค.ปี 2022 ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ต่างเร่งผลักดันการท่องเที่ยวในประเทศ โดยช่วงปีที่แล้วเห็นได้ชัดว่า เศรษฐกิจไทยได้มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามา ค่าเงินบาทก็ทยอยแข็งค่าขึ้น และการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน หลังจีนหยุดนโยบาย Zero Covid ก็เป็นผลบวกยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตมากขึ้น
แต่จากความเสี่ยงในแง่เศรษฐกิจจากภัยของความไม่แน่นอนที่เราได้ประสบกันมาทั่วโลก ทำให้ทางททท.มีโจทย์สำคัญที่จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยกลับมาเติบโตเทียบเท่าก่อนช่วงการเกิดไวรัสระบาด ด้วยการขยายตลาด ลดความเสี่ยงที่จะไม่ได้เพียงแต่พึ่งพาแต่นักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมอีกต่อไป แต่มีแผนที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากขึ้น โดยนักท่องเที่ยวที่ทางประเทศเราจับตามองก็คือในกลุ่มแถบเอเชียกลาง โดยเฉพาะ “คาซัคสถาน” นั่นเอง ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ การประชุม ครม.นายกรัฐมนตรีได้มีการพูดถึงการออกฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว จีน และ “นักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน” นำร่องเพียง 2 ประเภทเท่านั้น และสุดท้ายก็ได้ออกมาตรการฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถานพร้อมกัน ในระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ.2567 แสดงให้เห็นว่าคาซัคสถานกำลังเป็นประเทศที่การท่องเที่ยวไทยจับตามองอย่างมาก
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวคาซัคสถานที่เดินทางมายังไทยที่ผ่านมา อ้างอิงจากข้อมูลของทางครม. ก็ได้รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถานที่เดินทางมายังประเทศไทยในช่วงปี 2018 นักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน เข้ามายังประเทศไทยราว 58,000 คน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดเพียง 1% เท่านั้น ส่วนในปีนี้จนถึงเดือน ก.ย.นั้นพุ่งขึ้นมาเป็น 180,000 คน ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลก่อนช่วงฟรีวีซ่า ก็ยังเห็นได้ว่าคาซัคสถานเป็นตลาดศักยภาพ การเอื้ออำนวยให้เดินทางเข้าไทยได้สะดวกขึ้นจากมาตรฟรีวีซ่านี้ จึงเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่จะทำให้ Demand การเข้ามายังไทยที่มากขึ้น
ศักยภาพของนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน
ทางผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวคาซัคสถานที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยนั้น จะใช้ระยะเวลานาน (เฉลี่ยประมาณ 14 วัน) และยังมีกำลังซื้อที่สูงอีกด้วย (ตัวเลขเฉลี่ยปี 2019 มีค่าใช้จ่ายในไทยสูงกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่ 4,365 บาท/วัน) โดยที่ชาวคาซัคสถานมีกำลังซื้อที่สูงนั้น เป็นเพราะหลังประเทศได้ประกาศอิสรภาพจากสหภาพโซเวียตในปี 1991 คาซัคสถานได้พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้สามารถดำเนินธุรกิจและเอื้อต่อการลงทุน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีทรัพยากรมาก โดยมีน้ำมันเป็นสินค้าส่งออกหลัก และเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีแก๊สธรรมชาติ แร่ยูเรเนี่ยม และธาตุอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วน 58% จากการส่งออกทั้งหมด และจากข้อมูลของปี 2022 จาก World Nuclear Association ก็รายงานว่า คาซัคสถานเป็นผู้ผลิตแร่ยูเรเนี่ยมรายใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย (แร่ยูเรเนี่ยมสำคัญต่อการใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์) คาซัคสถานจึงเป็นตลาดศักยภาพที่ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวไทยได้อย่างไม่ต้องสงสัย
และนอกจากนี้ แต้มต่อของประเทศไทย ที่เป็นปัจจัยบวกในการกระตุ้นให้ชาวคาซัคสถานสนใจเดินทางมายังประเทศไทยคือ ประเทศคาซัคสถานนั้นเป็นประเทศที่มีอากาศหนาว และเป็นประเทศที่ไม่ติดทะเล ซึ่งหากไทยสามารถดึงดูดให้พวกเขามาเที่ยวเพื่อหนีหนาว หรือมา Explore สำรวจธรรมชาติทางทะเลได้ ประกอบกับการผลักดัน Soft Power ด้านสื่อบันเทิงของไทย ก็มีโอกาสที่นักท่องเที่ยวคาซัคสถาน รวมถึงประเทศในแถบเอเชียกลาง จะกลายเป็นตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ที่มีศักยภาพของไทยในยุคใหม่นี้
ข่าวเด่น